Google Ads (Adwords) คืออะไร อัพเดทล่าสุด 2024

|Updated: Dec 21, 2023

Google Ads (Adwords) คืออะไร ?

Google Ads คือ

Google Ads เป็นแพลทฟอร์มการโฆษณาออนไลน์ที่นิยมมาก ซึ่งเป็นบริการของ “Google” Search Engine อันดับหนึ่งของโลก ซึ่งมีผู้บริการค้นหาข้อมูลถึง 3.5 พันล้านครั้งต่อวัน (อ้างอิงจากข้อมูลสถิติ websiterating

Google Ads ช่วยให้แต่ละธุรกิจ ได้สามารถลงโฆษณาของตนไปยังผู้ที่ใช้เครื่องมือค้นหาของ Google หรือแสดงผลตามเว็บไซต์ท่ีเป็น Google Partner โดยการให้บริการโฆษณาจะเรียกเก็บเงินเป็น 2 ลักษณะหลักๆ คือ 

  1. Pay-Per-Click หมายความว่า Google จะคิดค่าบริการก็ต่อเมื่อมีคนคลิกที่โฆษณา และเข้ามายังเว็บไซต์ของเราแล้ว เปรียบเหมือนกับว่า ถ้าเรามีร้านค้าของเรา เราก็เสียเงินเฉพาะเวลาที่ลูกค้าเข้ามาอยู่ในร้านเราเท่านั้น
  2. Per-Per-Thousand Impressions หรือจ่ายตามการแสดงผล ซึ่งจะเหมาะกับโฆษณาประเภท Display Ads สามารถเลือกจ่ายตามการตกลงระหว่างผู้ลงโฆษณากับ Google

Google Ads (Adwords) เหมาะกับใคร ?

หากคุณเป็นคนที่มีธุรกิจสินค้า ผลิตภัณฑ์ หรือร้านค้าออนไลน์ ที่ต้องการโปรโมทธุรกิจของคุณเองผ่านทาง Google Adwords ให้ลูกค้ารู้จักสินค้าของคุณมากขึ้นล่ะก็ การโปรโมทผ่านทาง Google Ads ถือว่าตอบโจทย์ที่สุดก็ว่าได้ เพราะปัจจุบันลูกค้านิยมใช้ Search Engine ในการค้นหาข้อมูลสินค้ากันมากขึ้น และถ้าโฆษณาของเราไปอยู่อันดับต้นๆทุกครั้งเวลาที่ลูกค้าของเราใช้ Search Engine มันจะดีขนาดไหนลองคิดดู ถ้าให้เปรียบง่ายๆเลย เหมือนเราไปขายของในย่านที่มีแต่ออฟฟิศคนทำงาน มีคนเดินจับจ่ายซื้อของกันตลอดทั้งวัน มันก็จะทำให้มีโอกาสโปรโมทสินค้าหรือธุรกิจของเราไปในตัวได้อย่างดี

จุดประสงค์ของ Google Ads เหมาะกับใคร ?

  • เพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์

การทำ Google Ads มีข้อดีคือ สามารถเพิ่มยอดชมเว็บไซต์ ของคุณให้สูงขึ้น ซึ่งเว็บไซต์ในโลกออนไลน์ ก็เปรียบเสมือนร้านค้าในโลกจริง เพราะในเว็บไซต์ของคุณ จะประกอบข้อมูลของสินค้าและบริการ, ข้อมูลธุรกิจที่จำเป็น, ข้อมูลการติดต่อ ดังนั้นยิ่งมีคนเข้าเว็บไซต์คุณมากเท่าไหร่ คุณยิ่งประสบความสำเร็จเร็วมากเท่านั้น

  • สร้างยอดขายให้เติบโต

การทำ Google Ads สามารถแสดงโฆษณาให้แก่กลุ่มเป้าหมายที่เราสนใจแบบเจาะจงได้ ทำให้เกิดการกระตุ้นความสนใจจากออนไลน์ที่ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ ทุกเวลา ทำให้ธุรกิจสร้างยอดขายที่เติบโตได้ดียิ่งขึ้น

  • จัดโฆษณาที่เหมาะกับเราได้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิภาพ

การทำ Google Ads เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพทางการตลาดเนื่องจาก สามารถวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับจากการลูกค้าเข้ามาในหน้าเว็บไซด์ทำให้สามารถพัฒนาแคมเปญได้ดีมากขึ้น และเมื่อทำการแก้ไขก็ทำได้อย่างรวดเร็วหลายแพลตฟอร์ม

 

ทำไมต้องลงโฆษณา Google Ads (Adwords) ?

Search Engine ที่มีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดของโลกในขณะนี้ คงหนีไม่พ้น Google ซึ่ง Google มี Partner จากส่วนแบ่งการตลาดของ Search Engine รายอื่นๆอีกมาก โดยโฆษณาของคุณมีโอกาสสูงที่จะเข้าถึงเว็บไซด์ชั้นนำของโลกเหล่านี้ได้

ติดหน้าแรกทันที

แม้ว่าการทำ SEO จะดีต่อเว็บไซต์ของคุณ เพราะเป็นการติดอันดับแบบ Organic แถมยั่งยืนก็จริง แต่ข้อเสียของมันคือ “ใช้เวลานานมาก” เพราะลูกค้าของคุณ ไม่สามารถรอได้ การทำ Google Ads จึงตอบโจทย์ เพราะเพียงแค่คุณเลือกคำค้นหาที่ต้องการหลังจากนั้นเว็บไซต์ของคุณสามารถติดหน้าแรกได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง สะดวก รวดเร็ว ลูกค้าหาคุณเจอได้ในทันที

 

เสียเงินเมื่อมีคนคลิกเท่านั้น

จากการทำโฆษณาออนไลน์ เช่น Facebook นั้น จะเห็นได้ว่า เป็นการลงโฆษณาไปอย่าง “หว่านแห” เราไม่มีทางรู้ว่าเงินที่เสียไปนั้น คนสนใจโฆษณาของเราหรือเปล่า แต่คุณจะประหยัดมากขึ้น เพราะการโฆษณาบน Google นั้น เงินถูกจ่ายไป ก็ต่อเมื่อมีการคลิกเท่านั้น ดังนั้นจะไม่เสียค่าโฆษณาหากไม่มีการคลิกเกิดขึ้น

 

ตรงกลุ่มเป้าหมาย

เราสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ตรงกลุ่มเป้าหมายสูงสุด เพราะการโฆษณา Google Ads นั้น มีการใช้คีย์เวิร์ดเป็นตัวกำหนด ซึ่งจะเป็นคำที่ลูกค้ามีความสนใจ และคนที่เสิร์ชเข้ามา ก็คือคนที่กำลังมีความสนใจและพร้อมที่จะซื้อสินค้าหรือบริการจากการค้นหาบน Google ดังนั้นรับรองได้ว่า โฆษณาของคุณ จะตรงกลุ่มเป้าหมาย และเพิ่มยอดขายได้อย่างแน่นอน

 

เพิ่มยอดขาย

โปรโมทสินค้าและบริการให้กับฐานลูกค้าใหม่ สามารถช่วยเพิ่มยอดขายได้อย่างชัดเจนและเห็นผล ไม่สิ้นเปลืองงบโฆษณา สามารถกำหนดและควบคุมค่าใช้จ่ายในการโฆษณาต่อวันหรือต่อแคมเปญได้อย่างชัดเจน 

โฆษณา Google Ads (Adwords)? แตกต่างจากช่องทางอื่นๆ อย่างไร

จุดเด่นของโฆษณา Google Ads นั้น ต่างจากการโฆษณาช่องทางอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง เพราะกลุ่มเป้าหมายของโฆษณา Google Ads คือการที่ผู้คน ค้นหาเข้ามาในช่องทาง Search Engine ซึ่งสิ่งนั้น หมายถึงว่าพวกเขามีความสนใจในสินค้านั้นๆ มากอยู่พอตัว คุณไม่จำเป็นต้องคาดเดาความสนใจของพวกเขา ว่าลูกค้าของคุณคือใคร สนใจในสิ่งไหน อายุเท่าไหร่ อยู่จังหวัดไหน หรือเพศอะไร เพราะเรามีหลักใจความสำคัญคือ “คีย์เวิร์ด” พวกเขาสามารถที่จะเจอสินค้าหรือบริการของคุณได้ ผ่านการค้นหาต่างๆ ด้วยคีย์เวิร์ดที่คุณตั้งไว้นั่นเอง

ทำความรู้จัก ประเภทของคีย์เวิร์ด ที่ใช้ใน Google Ads

Keyword มีความสำคัญกับการทำ Google Ads เป็นอย่างมาก เพราะเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าโฆษณาของเราจะแสดงผลตามการค้นหาของกลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้าของธุรกิจเรา ทำให้เราเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเราสามารถทำการเลือก Keyword ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจผลิตภัณฑ์หรือบริการของเรา เป็นคำค้นหาที่คนมักใช้ค้นหาเมื่อเขามีความสนใจในสิ่งที่ธุรกิจเรามี เพื่อให้เวลาค้นหาจะปรากฏเมื่อเราทำการค้นหา การจัดกลุ่ม Keyword ให้สิ่งที่คล้ายกันอยู่ด้วยกันจะทำให้เราสร้างโฆษณาที่ตรงกับ Keyword  นั้นๆ ได้ดีมากยิ่งขึ้น เมื่อเราทราบถึงโฆษณาว่าต้องทำประเภทไหนก็จะทราบถึงงบประมาณที่เราต้องใช้ในการทำโฆษณา โดย Keyword จะช่วยให้เราวัดผลของประสิทธิภาพว่าแคมเปญโฆษณาของเราเป็นอย่างไรเมื่อมีคนคลิกโฆษณา มาทำความรู้จักประเภทของ Keyword และใช้ให้เหมาะสมกัน

Broad Match 

Broad Match คือ Keyword ที่เป็นวลีแบบกว้าง เป็นคำค้นหาที่ Google จะทำการค้นหาเมื่อตรงตรงกับคำหรือวลีนั้นๆ มีความคล้ายคลึงกับคำที่เกี่ยวข้อง Broad Match เป็นประเภทที่กว้างที่สุดเลยทำให้การแสดงผลอาจมีการค้นหาที่หลากหลายมากที่สุด Keyword ของ Broad Match เป็น “เสื้อผ้าแฟชั่น” โฆษณาจะแสดงผลเมื่อมีการค้นหาคำหรือวลีต่อไปนี้ เช่น เสื้อผ้าแฟชั่นผู้ชาย, เสื้อผ้าแฟชั่นผู้หญิง, เสื้อผ้าแฟชั่นเด็ก, เสื้อผ้าแฟชั่นราคาถูก, เสื้อผ้าแฟชั่นสไตล์เกาหลี, เสื้อผ้าแฟชั่นสาวอวบ, เสื้อผ้าแฟชั่นเวียดนาม เป็นต้น

Keyword Broad Match เป็นประเภทคำค้นหาที่ดีสำหรับธุรกิจที่ต้องการลงโฆษณาที่ต้องการให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กว้างที่สุดเท่าที่จะกว้างได้ แต่การใช้ Broad Match อาจทำให้การค้นหาแสดงผลถึงคำค้นหาที่ไม่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของเราได้ เราจึงควรใช้ Negative Match Keyword เพื่อให้ระบุคำหรือวลีที่เราไม่ต้องการให้โฆษณาของเราแสดงผล และทำให้เราติดตามวิเคราะห์ผลลัพธ์ของแคมเปญโฆษณาที่เราทำการเผยแพร่ได้อย่างตรงจุดประสงค์มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

Phrase Match

Phrase Match คือ Keyword ที่เป็นคำหรือวลีที่ตรงกับ Keyword แบบเฉพาะเจาะจง โดยเราจะต้องใส่ “…” เพื่อแสดงว่าเราต้องการเน้นย้ำที่ชัดเจน โดยต้องมีการใช้คำค้นหาที่ตรงกับของเรามากๆ แต่อาจแสดงผลเมื่อมีการเพิ่มคำอื่นๆ เข้าไปด้านหน้าหรือด้านหลังของ Keyword เพื่อให้พ้องกับความหมายหรือคำที่เกี่ยวข้องกับคำค้นหาของเรา โดยเราควรทำการเลือกคำค้นหาที่เป็นที่นิยม มีการสะกด อัตราการค้นหาที่สูงการจัดเรียงคำที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายจะค้นหา เพื่อให้โฆษณาของเราเมื่อได้รับการค้นหาจะไปปรากฏอยู่หน้า Google ของกลุ่มเป้าหมายอย่างถูกต้องหาก Phrase Match Keyword คือ เสื้อผ้าแฟชั่นผู้หญิง โฆษณาของเราอาจแสดงผลเมื่อมีการค้นหาคำหรือวลีต่อไปนี้ เช่น เสื้อผ้าแฟชั่นผู้หญิงราคาถูก, เสื้อผ้าแฟชั่นผู้หญิงสไตล์เกาหลี, เสื้อผ้าแฟชั่นผู้หญิงทางการ เป็นต้น 

Keyword Phrase Match เป็นประเภทโฆษณาที่เราต้องการโฆษณาสินค้าหรือบริการแบบเฉพาะเจาะจง เรื่องจากคำค้นหานี้ช่วยให้เราควบคุมได้มากยิ่งขึ้นว่าโฆษณาจะแสดงผลลัพธ์การค้นหาเมื่อไร ที่ไหน อย่างไร แต่จะมีการแสดงผลลัพธ์ที่เจาะจงน้อยกว่าโฆษณาประเภท Exact Match ดังนั้น เราควรติดตามผลลัพธ์ของแคมเปญโฆษณาของเราอย่างใกล้ชิดและทำการปรับแต่งวิเคราะห์คำค้นหาของเราให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น

Exact Match

 Exact Match คือ Keyword ที่เป็นคำหรือวลีที่ตรงตามคำแบบสุดๆสมบูรณ์ โดย Google Ads จะแสดงโฆษณาของเราก็ต่อเมื่อมีการค้นหาคำหรือวลีที่ตรงกับคำที่ใช้ในการค้นหาแบบสมบูรณ์ โดยเราจะต้องใส่ [..] Exact Match เป็นคำค้นหาที่แคบที่สุด เป็นการแสดงผลลัพธ์สำหรับการค้นหาที่เฉพาะเจาะจงมากที่สุด ตัวอย่าง Exact Match Keyword คือ “เสื้อผ้าแฟชั่นสไตล์เกาหลี” โฆษณาของเราอาจแสดงผลการค้นหาคำหรือวลีดังนี้ ราคาเสื้อผ้าแฟชั่นสไตล์เกาหลี, ซื้อเสื้อผ้าแฟชั่นสไตล์เกาหลี, เสื้อผ้าแฟชั่นสไตล์เกาหลีแบรด์เนม, เสื้อผ้าแฟชั่นสไตล์เกาหลีสีพาสเทล เป็นต้น 

Keyword Exact Match เป็นประเภทโฆษณาที่เราต้องโฆษณาสินค้าหรือบริการของเราแบบเฉพาะเจาะจง เนื่องจากคำค้นหาประเภทที่ต้องเฉพาะเจาะจงมากที่สุด สามารถควบคุมการค้นหาได้มากที่สุดว่าโฆษณาจะแสดงผลลัพธ์อย่างไร ที่ไหน แต่เราจำเป็นต้องมีคำค้นหาหลายๆคำ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้างมากขึ้น คลอคลุมตลาดที่เราต้องการทำโฆษณา

 

Negative Match

Negative Match คือ Keyword ที่เป็นคำหรือวลีลบ ที่ช่วยให้เราสามารถระบุคำหรือวลีที่เราไม่ต้องการให้โฆษณาของเราแสดงผลโดยเราจะต้องใส่สัญลักษณ์ – ตัวอย่างเช่นของการใช้Negative Match Keyword คือ เสื้อผ้าแฟชั่น แล้วเราใช้Negative Match เช่น -ฟรี หรือ -ถูกมาก เพื่อป้องกันไม่ให้โฆษณาของเราแสดงผลเมื่อมีการค้นหาคำหรือวลีเหล่านี้

Keyword Negative Match Keyword เป็นอีกอย่างที่สำคัญสำหรับการใช้คำค้นหาเพราะสามารถช่วยให้เราประหยัดเงินและปรับปรุงประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณาของเราได้ ถ้าโฆษณาเราไปแสดงผลการค้นหากับสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับสินค้าบริการของเรา ถ้ามีการคลิกโฆษณาของเราก็จพทำให้เราเสียค่าโฆษณาไปแบบไม่ตรงจุดประสงค์กับโฆษณา ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงอีกด้วย

 

การกำหนดจุดประสงค์ของการใช้ Google Ads (Adwords)

 

การกำหนดจุดประสงค์ของการใช้ Google Ads (Adwords) ไม่ใช่เรื่องของยอดขายอย่างเดียว เพราะไม่ใช่ทุกธุรกิจ ต้องการให้คนคลิกโฆษณามาเรา เพื่อซื้อของ หยิบของใส่ตะกร้าสินค้าอย่างเดียวเท่านั้น อย่างถ้าเป็นของราคาสูงๆ คงยากที่ลูกค้าจะคลิกเข้ามาแล้วกดสั่งซื้อเลย โดยจุดประสงค์ของเว็บไซต์ธุรกิจนั้น อาจต้องการแค่ ให้คนติดต่อสอบถาม จอง ฉะนั้นเราควรกำหนดจุดประสงค์ไปให้ชัดเจนไปเลยว่า เราควรจะใช้ คำค้นหา (Keywords) แบบไหน เพื่อที่จะส่งลูกค้าไปยังหน้าเว็บไซต์ของเรา

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพกันง่ายๆเลย เช่น จุดประสงค์ของการทำโฆษณาแบบนี้ คือ การจองทัวร์ท่องเที่ยว เพื่อสอบถามข้อมูลเพียงอย่างเดียว เราก็ทำการเลือกโฆษณา โดยใช้ส่วน Call Extensions ที่เมื่อคนต้องการหาข้อมูล ก็ไม่จำเป็นต้องมาคลิกเข้าหน้าเว็บเรา โดยจะสามารถกดโทรจากมือถือได้ทันที หากคุณอยากประสบความสำเร็จคุณจำเป็นต้องตั้งกำหนดวัตถุประสงค์และกำหนดเป้าหมายในการทำโฆษณา เพื่อให้การทำธุรกิจออนไลน์ ผ่านการใช้บริการจาก Google Ads (Adwords) นั้นเกิดประสิทธิภาพสูงสุด

ประเภทของแคมเปญ Google Ads (Adwords)

เมื่อเราเริ่มสร้างแคมเปญ ระบบจะให้เราเลือกประเภทแคมเปญและประเภทย่อยแคมเปญ โดยการกำหนดประเภทแคมเปญจะเป็นตัวบอกว่าลูกค้าจะเห็นโฆษณาของคุณได้จากที่ใด และเราสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้เฉพาะมากยิ่งขึ้น ด้วยการกำหนดเป้าหมายโฆษณาของเรา โดยประเภทแคมเปญประกอบด้วยรายการต่อไปนี้

Search (Google Search) 

Best Google Search Tips, Tricks, and Hidden Shortcuts

Search (Google Search) เป็นการโฆษณาผ่านการ  Search ด้วย คำค้นหา ที่กลุ่มเป้าหมายสนใจ โดยจะแสดงการโฆษณาที่หน้าของ Google ซึ่งจะมี Sponsored อยู่ด้านบนของเว็บไซด์ เรียกว่า Google Search Ads

Display (Google Display Network)

 

Responsive display ads are the main format for Display campaigns and appear on multiple properties

Google Display Network เป็นการโฆษณาแบบรูปภาพ จะปรากฏอยู่บนเว็บไซด์ต่างๆ หลากหลาย

ขนาด เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้ามีความสนใจและคลิ๊กกลับมาที่เว็บไซด์เรา

Shopping  (Google Shopping)

 

An illustration showing shopping online and filtering clothing options by gender

Google Shopping เป็นการโฆษณาแบบร้านค้าออนไลน์เมื่อทำการค้นหา สิ่งที่เราต้องการจะแสดงผลเป็นชื่อแบรด์ รูปภาพของสินค้า รายละเอียดแบรด์ การจัดส่งสินค้า ความพึงพอใจในสินค้า ทำให้ลูกค้าเกิดความสนใจต่อสินค้าได้สะดวกมากขึ้น

Video (YouTube)

An example of all the YouTube ad formats available in Google Ads


 Video (YouTube) เป็นการโฆษณาบน Youtube ที่มีหลากหลายรูปแบบ เช่น โฆษณาที่skipได้ ,โฆษณาที่ต้องดูจนเสร็จสิ้น เป็นต้น

App




App การโฆษณาเพื่อแอปพลิเคชั่น บนแพลนต์ฟอร์มต่างๆ เช่น Search ,Youtube เป็นต้น

Performance Max

Performance MAX campaign objectives


Performance Max การโฆษณาแบบใหม่ของ Google ที่มีประสิทธิภาพสูง และสามารถใช้ได้หลากหลายแพลตฟอร์ม ในหนึ่งแคมเปญ

ประเภทย่อยแคมเปญประกอบด้วยรายการต่อไปนี้ประเภทย่อยแคมเปญจะเป็นตัวกำหนดการตั้งค่าและตัวเลือกที่สามารถใช้ได้ เช่น ประเภทโฆษณาที่เราสามารถออกแบบได้ โดยตัวเลือกเหล่านี้ช่วยให้เราสามารถปรับแต่งแคมเปญให้ตรงกับเป้าหมายธุรกิจ และมุ่งเน้นที่ลักษณะแคมเปญที่เกี่ยวข้องกับเราได้มากที่สุด

ซึ่งประเภทแคมเปญจะขึ้นอยู่กับเครือข่ายโฆษณาของ Google ได้แก่ เครือข่ายการค้นหา,เครือข่ายดิสเพลย์,เครือข่าย YouTube เครือข่ายเหล่านี้ประกอบด้วยตำแหน่งที่ตั้งทั้งหมดที่โฆษณาของเราสามารถปรากฏ ซึ่งรวมถึง เว็บไซต์ที่แสดงโฆษณา Google ที่เกี่ยวข้อง และตำแหน่งอื่นๆ เช่น แอปบนมือถือที่เลือกการตั้งค่าเครือข่ายโดยการเลือกประเภทแคมเปญสำหรับแคมเปญของคุณ

ประเภทของกลยุทธ์การลงโฆษณา (Bid Strategy)

Manual CPC (Cost Per Click)

กลยุทธ์นี้จะเรียกง่ายๆ ว่าการกำหนดราคาต่อหนึ่งคลิกเอง การเสนอราคาวิธีนี้ให้คุณกำหนดราคาต่อหนึ่งคลิก (CPC) สูงสุดสำหรับโฆษณาของคุณเอง ซึ่งแตกต่างจากกลยุทธ์การเสนอราคาอัตโนมัติซึ่งทาง Google จะตั้งราคาเสนอให้กับคุณ ซึ่งมีข้อดีคือ คุณสามารถควบคุมจำนวนเงินสูงสุดที่คุณยินจ่ายสำหรับการคลิกโฆษณาของคุณแต่ละครั้งได้ ข้อดีของการกำหนดราคาสูงสุดเองนั้น คือเราจะสามารถเลือกได้ว่า คีย์เวิร์ดตัวไหนทำกำไร ได้มากน้อยที่่สุด ซึ่งหากคุณรู้จักคีย์เวิร์ดทุกตัวดีแล้วนั้น ก็จะรู้ว่าตัวไหนควรลงทุน กำหนด CPC ให้สูงๆ หรือตัวไหน ไม่ได้สำคัญมากหรือทำกำไรน้อย ก็กำหนด CPC ไม่ต้องสูงมากนั่นเอง อีกทั้งยังเหมาะกับคีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขันที่สูงไปมาก เช่น 100 บาทขึ้นไป หากคุณมีงบน้อยก็อาจจะสู้ไม่ไหว จึงต้องกำหนดราคาเสนอเอง

Maximize Click

การกำหนดราคาเสนอโดยอัตโนมัติเพื่อให้คุณได้รับคลิกมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ภายในงบประมาณที่ตั้งไว้ ซึ่งหมายถึง Google จะทำการการเพิ่มจำนวนคลิกสูงสุด โดยเป็นการเสนอราคาแบบอัตโนมัติ ซึ่งก็มีวิธีการง่ายๆ คือ Google จะทำการ Bid ราคาให้กับ Keyword ที่เรามีในโฆษณาทั้งหมด ซึ่งกลยุทธ์นี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสร้าง Website Traffic สูงๆ ซึ่งสามารถเพิ่มจำนวนการเข้าชมเว็บไซต์ได้มากเลยทีเดียว

Maximize Conversion

คือการที่ Google จะปรับโฆษณาให้ทำงานอัตโนมัติให้สามารถได้รับจำนวน Conversion ที่สูงที่สุด ซึ่งโฆษณาจะแสดงบ่อยมากน้อยขนาดไหน ขึ้นอยู่กับ สถานที่ เวลา และวิธีที่กลุ่มเป้าหมายใช้คำค้นหา ซึ่งระบบจะคำนวนให้คุณสามารถได้รับ Conversion สูงสุดโดยการเลือกแสดงผลในช่วงเวลา ในสถานที่ หรืออีกหลายปัจจัย ให้สามารถมีต้นทุนที่คุ้มค่ามากที่สุด เหมาะสำหรับแคมเปญที่ต้องการเพิ่มยอดขายเป็นอย่างสูง

Target Impression Share

วิธีการทำงานของกลยุทธ์นี้ก็คือ Google Ads จะเพิ่มหรือลดราคาเสนอของคุณโดยอัตโนมัติเพื่อแสดงโฆษณาที่ตำแหน่งบนสุดของหน้าเว็บ หรือในหน้าแรกของผลการค้นหาของ Google ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ สามารถทำงานได้กับแคมเปญที่กำหนดเป้าหมาย เครือข่ายการค้นหาเท่านั้น โดยจะ Bid แบบคุมราคาในไม่ให้เกินงบที่เราตั้งไว้ แต่ก็พยายามที่จะชนะ เว็บที่ bid ในหน้าแรกของหน้าค้นหาจาก keyword นั้นๆ ไปด้วย

Target ROAS

สำหรับกลยุทธ์ Target ROAS จะเป็นกำหนดราคาเสนอโดยอัตโนมัติเพื่อช่วยเพิ่มมูลค่า Conversion ของคุณให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ตามผลตอบแทนจากค่าโฆษณา (ROAS) เป้าหมายที่คุณกำหนดไว้ Conversion บางรายการอาจมีผลตอบแทนสูงหรือต่ำกว่าเป้าหมาย ก็ขึ้นอยู่กับความคุ้มค่านั่นเอง ซึ่งเหมาะสำหรับโฆษราที่อยากติดตามการกระทำของกลุ่มเป้าหมาย หรือ Conversion มากกว่าหนึ่งอย่าง แต่การกระทำแต่ละครั้งมีมูลค่าต่างกัน

 

รูปแบบของโฆษณาที่รองรับ (Ads Format)

 

Ad Format หรือที่เรียกอีกอย่างว่า รูปแบบของโฆษณา ซึ่งหมายถึง ลักษณะของโฆษณา ที่จะมีหน้าตาแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะในรูปแบบของ ข้อความ รูปภาพ หรือแม้กระทั่งวิดิโอ สำหรับคนทำ Google Ads ก็จะทราบกันดีว่า รูปแบบของโฆษณานั้นมีให้เลือกใช้อย่างมากมาย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานสูงสุด รวมถึงบรรลุเป้าหมายการตลาดที่ตั้งไว้ ซึ่งรูปแบบโฆษณาที่ทาง Google จัดเตรียมไว้สำหรับให้ผู้ใช้งาน ได้ลงโฆษณานั้น ก็มีหลายรูปแบบ เพื่อตอบโจทย์ในแต่ละเป้าหมายของธุรกิจ

 

  • Text ads – โฆษณาในรูปแบบข้อความ ที่เหมาะสำหรับธุรกิจประเภทที่มีคนค้นหาเยอะๆ จุดเด่นคือใช้งานง่าย สะดวกรวดเร็ว แต่อาจจะมีความน่าสนใจน้อยกว่าโฆษณารูปแบบอื่นๆAd format chart: text ad
  • Shopping Ads – โฆษณาที่มีจุดเด่นคือ สามารถให้ผู้ชมเว็บไซต์พร้อมซื้อขายได้ทันที โดยรูปแบบโฆษณาจะแสดงทั้ง รูปภาพ ชื่อสินค้า และราคา

 

Ad format chart Product Shopping ads

  • Image Ads – รูปแบบของโฆษณาที่สามารถสร้างความโดดเด่นได้ดีกว่า โฆษณาแบบข้อความ แม้จะมีความยุ่งยากในการจัดทำ แต่คุณจะสามารถส่งสินค้าของคุณให้โดดเด่นบนเว็บไซต์ได้อย่างแน่นอน

 

Ad format chart: Image ad

  • Video Ads – โฆษณาในรูปแบบที่เป็นไดนามิกมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นภาพเคลื่อนไหว และ เสียง เพิ่มความน่าสนใจ แต่อาจจะต้องระวังในการรบกวนผู้ใช้งาน ดังนั้นควรออกแบบให้มีคุณภาพสูงสุด

Ad format chart: Video ad

  • App Promotion Ads – แน่นอนว่าเหมาะสำหรับธุรกิจที่มีแอพลิเคชั่น เพราะสามารถส่งตรงกับหน้าค้นหา และไปยังหน้าดาวโหลดได้โดยตรง

Ad format chart: App promotions ad

  • Call-only ads – รูปแบบของโฆษณาที่จะสามารถเพิ่ม Conversions ให้กับการทำ Google Ads ได้อย่างดีเยี่ยม

 

Ad format chart Call ads

 

ส่วนขยายโฆษณาที่รองรับ (Ads Extensions)

 

Ads Extensions หรือส่วนขยายของโฆษณา ก็คือข้อความหรือข้อมูล ที่เพิ่มจากการแสดงโฆษณาพื้นฐานตามปกติ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเทคนิคของการทำ โฆษณา Google Ads ที่สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับโฆษณา ไม่ว่าจะเป็นเพิ่มอัตรการคลิก , เพิ่ม Conversions และ อีกมากมาย ทั้งยังสามารถเพิ่มโอกาสปิดการขายได้อีกด้วย โดยส่วนขยายโฆษณานั้น ก็มีหลายรูปแบบด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการใส่เบอร์โทร ใส่ลิงค์หน้าอื่นๆ ใส่บริการทั้งหมด ใส่คำโฆษณาเพิ่มเติม ซึ่งถือว่าเป็นการเพิ่มความสนใจให้กับโฆษณา 

 

Sitelinks Extensions

คือ การใส่ URL ของ Landing Page หน้าที่เราต้องการเพิ่มเติมลงไป นอกเหนือจากหน้าหลักที่เรามีอยู่แล้ว ซึ่งมีประโยชน์คือ สามารถนำผู้ใช้ไปยังหน้าเว็บที่เฉพาะเจาะจงในไซต์ของคุณได้ เช่น สั่งซื้อสินค้า, โปรโมชั่นพิเศษ และอื่นๆ 

ข้อดีของ Sitelinks Extensions ก็คือการที่เราสามารถพาผู้ชมเว็บไซต์ ไปยังหน้าที่พวกเขาต้องการได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องผ่านหน้าแรก หรือหน้าที่คุณเลือกเป็น Landing Page แถมยังเป็นการเพิ่มรายละเอียดที่มากขึ้นให้กับโฆษณาอีกด้วย ที่สำคัญคือส่วนขยายนั้นสามารถเปลี่ยนแปลง อัพเดทได้อย่างง่ายดาย ไม่ทำให้คุณต้องเสียเวลาไปสร้างโฆษณาใหม่ให้ยุ่งยากกวนใจ

 

Call Extensions 

Call Extensions หรือส่วนขยายการโทร ก็จัดเป็นชื่อเรียกตรงตัว ไม่มีอะไรซับซ้อน หมายถึง ผู้ชมเว็บไซต์ สามารถกดโทรหาธุรกิจได้จากตัวโฆษณาทันที สำหรับส่วนขยายการโทรนั้น จะเหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องมีการนัดหมายก่อน เช่น คลินิคเสริมความงาม , ร้านอาหาร หรือจะเป็นธุรกิจอื่นๆ ก็ได้ ที่ต้องการให้ลูกค้าโทรเข้ามาทันที

 

Callout Extensions 

หรือที่เรียกว่าส่วนขยายไฮไลท์นั้น คือการที่เราใส่คำโฆษณาสั้นๆ แต่สามารถเน้นย้ำข้อความที่เราต้องการสื่อได้ โดยสามารถดัดแปลงเพื่อใส่ข้อความที่เราต้องการได้ สามารถใส่ได้ 25 ตัวอักษร เช่น สินค้าลดราคา , ขายถูกกว่าเจ้าอื่น คุณสามารถใส่ไฮไลท์ได้ที่ระดับบัญชี แคมเปญ หรือกลุ่มโฆษณา โดยสามารถเลือกว่าจะใส่ไฮไลต์ที่ไหน สร้างข้อความไฮไลท์ และตั้งเวลาที่ต้องการให้แสดง ลำดับของไฮไลต์ ความยาว และประสิทธิภาพการทำงานล้วนแล้วแต่มีผลต่อจำนวนไฮไลท์ที่จะแสดงนั่นเอง

 

Location Extensions

คือการเชื่อมข้อมูลที่ตั้งร้าน หรือบริษัทของคุณไว้กับส่วนขยายโฆษณา โฆษณาจะแสดงข้อมูล เช่น ที่อยู่ แผนที่ หรือระยะทางมายังธุรกิจเพื่อช่วยให้ผู้ใช้พบร้านค้าของคุณได้อย่างง่ายดาย ซึ่งคุณจำเป็นจะต้องสร้างแผนที่บน Google Map ผ่านเครื่องมือ Google My Business ก่อน ส่วนขยายประเภทนี้มีจุดเด่นคือ ลูกค้าสามารถเดินทางมายังหน้าร้านคุณได้อย่างง่ายดาย หรือสามารถดูรีวิวที่ลูกค้าอื่นๆ ได้ให้ความเห็นกับธุรกิจของคุณ ซึ่งสามารถช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อได้ดีเลยทีเดียว

 

Image Extensions

อัพเดทใหม่ล่าสุดปี 2022 คุณสามารถใส่รูปภาพให้กับโฆษณา Search ได้แล้ว! ซึ่งแน่นอนข้อดีของการใส่ส่วนขยายรูปภาพนั้น จะเพิ่มความโดดเด่น น่าสนใจให้กับโฆษณาของคุณเป็นอย่างมาก ช่วยให้มีการตัดสินใจคลิกที่รวดเร็วมากขึ้น แถมช่วยเพิ่มอัตราการคลิก (CTR) ได้อย่างแน่นอน

แต่ไม่ใช่ว่าทุกแอคเค้าท์จะสามารถใช้ตัว Image Extensions ได้ แต่ Google ได้กำหนดไว้ว่าบัญชีดังกว่าจะต้องมีคุณสมบัติดังนี้

 

  1. ต้องเป็นบัญชีที่เปิดใช้งานมาเกิน 90 วัน
  2. ต้องเป็นบัญชีที่ไม่ละเมิดนโยบายต่างๆ
  3. ต้องเป็นบัญชีที่มีแคมเปญทำงานอยู่

 

คะแนนคุณภาพ (Quality Score) คืออะไร มีผลกับโฆษณาอย่างไร

 

Quality Score หรือที่เรียกในภาษาไทยได้ว่า “คะแนนคุณภาพ” ซึ่งเป็นคะแนนที่ทาง Google มีไว้สำหรับ ให้คะแนนของแต่ละ Keyword ที่ใช้ทำ Google Ads เป็นตัวที่บ่งบอกว่า Keyword ที่เราเลือกใช้นั้นมีคุณภาพมากน้อยขนาดไหน ซึ่งเกณฑ์ง่ายๆ ก็คือ จะมีคะแนนอยู่ที่ 1 – 10 ถ้าคะแนนน้อย (1-3) หมายถึงว่าคีย์เวิร์ดที่เราเลือกใช้ ด้อยคุณภาพ และอาจจะส่งผลไปถึงการแสดงโฆษณา เป็นสิ่งที่เราต้องปรับปรุง แต่ถ้าได้คะแนนสูงๆ ( 8- 10 ) ก็เป็นตัวบ่งบอกได้ว่า คีย์เวิร์ดที่เราเลือกใช้มีคุณภาพสูง เหมาะสมกับเว็บไซต์ของเรา ทำให้ส่งผลดีต่อโฆษณาที่เราลง ซึ่งหลักการให้คะแนนนั้นก็มีตัวแปรมากมาย 

 

แล้วคุณภาพของโฆษณาส่งผลต่อโฆษณาอย่างไรบ้าง ไปดูกัน

 

อันดับโฆษณาสูงขึ้น

อันดับโฆษณา หรือ ที่รู้จักกันในนาม Ad Rank นั้น เป็นสิ่งที่นักโฆษณา ผู้ลงสนามแข่งขัน Google Ads ทุกคน ต่างอยากครอบครองอันดับดีๆ อันดับหนึ่งได้ยิ่งดี เพราะยิ่งอันดับดีเท่าไหร่ ลูกค้าก็จะหาเราเจอง่ายมากขึ้นเท่านั้น

ราคาคลิกถูกลง

หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ค่าคลิกถูกลงข้อสำคัญก็คือ การปรับปรุงคะแนนคุณภาพนั่นเอง จะดีกว่าไหม ถ้าเราหันไปให้ความสำคัญกับการทำโฆษณาให้มีคุณภาพ โดยตัดเรื่องการทุ่มทุนกับงบประมาณ พยายามทำให้คะแนนคุณภาพมีคะแนนสูงที่สุด เท่าที่จะทำได้ ถ้าเราตั้งใจปรับปรุงทุกส่วนให้ดีขึ้นแล้วนั้น โฆษณาก็จะมีคุณภาพ ไต่อันดับสูงๆ โดยไม่ต้องจ่ายค่าคลิกสูงๆ  อีกด้วย

โฆษณาแสดงบ่อยขึ้น

เป็นผลสืบเนื่องกันมา เพราะเมื่อคีย์เวิร์ดตัวไหนที่มีคะแนนสูง นอกจาก Google จะส่งโฆษณาให้ไปอยู่อันดับสูงๆแล้ว ยังเพิ่มความถี่ในการแสดงโฆษณาอีกด้วย ในทางตรงกันข้ามกัน หากคุณไม่ปรับปรุงคะแนนคุณภาพให้ดีนั้น ก็มีโอกาสที่โฆษณาจะแสดงน้อยมาก แถมยิ่งคะแนนต่ำมากๆ เช่น 1-2 คะแน ก็จะมีโอกาสที่จะโฆษณาไม่โชว์เลยอีกด้วย เห็นหรือยังล่ะ ว่าคะแนนคุณภาพ นั่นมีความสำคัญมากจริงๆ

 

ทำโฆษณา Google Ads VS จ้างเอเจนซี่ทำ Google Ads แบบไหนดีกว่ากัน?

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ทุกท่านก็อาจจะพอเข้าใจพื้นฐานของ Google Ads บ้างเล็กน้อย บางท่านอาจจะต่อยอดไปถึงการลงมือเริ่มโฆษณา Google Ads เองได้เลย หลายท่านก็อาจจะมีคำถามขึ้นมาว่า แล้วการลงโฆษณาเอง กับการจ้างเอเจนซี่นั้น มีความแตกต่างกันอย่างไร? วันนี้เราจะมาสรุปแบบสั้นๆ ให้ฟัง

❌ทำ Google Ads เองใช้เวลาในการศึกษานาน

เพราะการทำโฆษณาออนไลน์นั้น เพื่อให้ตอบโจทย์ธุรกิจและบรรลุเป้าหมายสูงสุดนั้น จำเป็นต้องอาศัยความเชี่ยวชาญความชำนาญ ความรู้ และประสบการณ์ในการทำการตลาดออนไลน์อย่างสูง ซึ่งแน่นอน ว่าใครๆก็สามารถเรียนรู้ได้แต่อาจจะต้องใช้เวลาค่อนข้างนานในการศึกษาเรียนรู้ จะดีกว่าไหม? ถ้าคุณเจอผู้ที่เชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์ในด้านนี้อยู่แล้วมาช่วยดูแลธุรกิจของคุณ

❌ทำ Google Ads เอง มีโอกาสผิดพลาด

เพราะการทำโฆษณาออนไลน์ มีหลายปัจจัยที่ต้องดูแล ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแคมเปญ การวางแผนโฆษณา การจัดการคีย์เวิร์ดหรือกลุ่มเป้าหมาย การจัดสรรงบประมาณ ฯลฯ ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อคุณไม่ได้เชี่ยวชาญแบบเฉพาะทางด้านการตลาดออนไลน์ก็อาจจะทำให้คุณหลงลืมปัจจัยบางอย่าง และอาจผิดพลาดได้ง่าย

❌ทำ Google Ads เองต้องมีเวลาในการดูแล

แน่นอนว่า แม้คุณอาจจะเชี่ยวชาญในการทำการตลาดออนไลน์ แต่การทำโฆษณาออนไลน์นั้น ต้องอาศัยความสม่ำเสนอในการดูแล และ Monitor แทบจะตลอดเวลา เพราะอัลกอริทึม, อัตราการแข่งขันมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา คุณจำเป็นจะต้องใช้เวลาอย่างมาก ซึ่งคงจะดีกว่าถ้าคุณมีคนช่วยดูแลในส่วนนี้และนำเวลาไปทำอย่างอื่นที่จำเป็นต่อธุรกิจของคุณอีกหลายอย่าง

✅จ้างทำ Google Ads เพราะเรามีความเชี่ยวชาญมากกว่า

เพราะเรารู้ดีเรื่องการตลาดออนไลน์มากกว่าใคร และมีทีมงานที่เชี่ยวชาญเฉพาะแต่ละช่องทาง เราเชี่ยวชาญในด้านการวัดผลการหากลุ่มเป้าหมาย และ สามารถใช้ทุกเครื่องมือการตลาดที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ใช้ทุกเม็ดเงินลงทุนออนไลน์ได้อย่างคุ้มค่า ทำให้คุณสบายใจได้ว่าโฆษณาของคุณจะตรงกลุ่มเป้าหมาย และมีประสิทธิภาพสูงสุด

✅จ้างทำ Google Ads ลดความเสี่ยงให้คุณ

หากคุณอยากทำ Google Ads ด้วยตนเอง หรือ หาพนักงานผู้เชี่ยวชาญด้านนี้มาไว้ในบริษัทคุณก็จะต้องมีความเสี่ยงในด้านการลงทุนจ่ายเงินเดือนให้กับพนักงานใหม่ ที่คุณยังไม่แน่ใจว่าเขาจะทำงานให้คุณได้มีประสิทธิภาพมากแค่ไหน เพราะตำแหน่งนี้จำเป็นต้องมีความรู้รอบด้าน ใช้เครื่องการตลาดออนไลน์เป็นทุกเครื่องมือ ซึ่งหายากมากๆ และหากคุณไม่มีคนที่เชี่ยวชาญในบริษัทมาก่อน คุณก็จะไม่สามารถวัดประสิทธิภาพ ของพนักงานใหม่ได้เลยแต่หากคุณจ้างเอเจนซี่ ซึ่งจะสามารถการันตีให้คุณได้ว่าโฆษณาของคุณจะสามารถทำประโยชน์ ให้คุณได้ขนาดไหน และมีการวัดผลที่ชัดเจน ซึ่งคุณจะลดความเสี่ยงตรงนี้ไปได้เยอะเลยทีเดียว

✅จ้างทำ Google Ads สามารถประหยัดเวลาได้

ในการทำ Google Ads นั้น คุณจะต้องเสียเวลาไปกับการนั่งวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย นั่งหาคีย์เวิร์ด นั่งสำรวจคู่แข่ง ฯลฯ หรือหากคุณไม่มีความรู้ด้านนี้เลยแต่อยากลองทำเอง คุณก็จะต้องเสียเวลาในการนั่งหาคอร์สเรียนเจ๋งๆ เพื่อเรียนรู้แล้วก็ต้องเสียสตางค์ เสียเวลาไปนั่งเรียน นั่งศึกษาอยู่หลายวัน แถมศึกษามาแล้ว ก็ยังไม่มั่นใจอีกว่าจะสามารถทำได้ดีมากน้อยขนาดไหน ซึ่งคุณไม่ควรเสียเวลาไปกับอะไรที่คุณไม่ถนัดเลย เอาเวลาที่มีมานั่งพัฒนาสินค้าและบริการของคุณ ที่คุณรู้ลึกรู้ดีที่สุดในส่วนของช่องทางการตลาด ก็ขอปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ Agency

การใช้ Google Ads (Adwords) เบื้องต้น

  1. ลงมือทำด้วยตัวของคุณเอง บนโปรแกรม Google Ads โดยเข้าไปสมัครได้ที่ลิงก์นี้เลยค่ะ https://adwords.google.co.th/select/Login เริ่มต้นเลยเราต้องทำการเปิดบัญชีกับ Google Ads ก่อน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการเปิดบัญชี $5 หรือ ประมาณ 200 บาท โดยเจ้า Google Adwords จะเป็นตัวเชื่อมธุรกิจของเราไปสู่ผู้บริโภค ได้ทั้งในประเทศและนอกประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ได้มีการจำกัดและสามารถเลือกตลาดใหม่ๆได้ตลอดเวลา ซึ่งก็จะมีค่าใช้จ่ายโฆษณา โดยสามารถเลือกจ่ายได้ว่า จะโฆษณาก่อนจ่ายทีหลัง หรือจะแบบเติมเงินก็ได้ และจ่ายต่อเมื่อมีคนคลิกเข้ามาเท่านั้น ซึ่งถือว่าคุ้มมากเรียกได้ว่า ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัวกันเลยทีเดียว
  2. จ่ายเงินให้กับบริษัท หรือตัวแทนโฆษณา ที่รับโปรโมทเว็บผ่านโปรแกรม Google Ads

เคล็ด (ไม่) ลับการใช้ Keyword ใน Google Ads

  • โฟกัส Keywords 

ควรใส่ Keywords ที่ตรงกับธุรกิจ หรือบริการของเรามากที่สุด ใส่ทุกส่วนของแคมเปญ ,โฆษณาของเรา ,URL และ และควรใช้คำที่ครอบคลุมทั้งธุรกิจเรา เช่น ไอติม ไอศกรีม ต่อให้ลูกค้าค้นหาด้วยข้อความแบบไหนก็จะเจอโฆษณาของเรา จะช่วยให้โฆษณาของเรามีคุณภาพมากขึ้น

  • Negative Keywords 

การใส่คำเพื่อคัดกลุ่มเป้าหมาย ช่วยทำให้สามารถแยกประเภทของกลุ่มเป้าหมายได้ดีมากขึ้น ทำให้ไม่เสียค่าใช้จ่ายการคลิ๊กไปกับลูกค้าที่ไม่ได้สนใจในสินค้า หรือบริการของเรา เช่น ธุรกิจขายประตูบ้าน แต่คนค้นหาวิธีการติดตั้งประตูบ้าน เพื่อคัดคนที่ไม่สนใจในการซื้อประตูบ้านได้และทำให้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น

ประโยชน์ของ Google Ads (Adwords)?

Google Adwords  จัดว่าเป็นตัวเชื่อมธุรกิจของเราไปสู่ลูกค้า โดยสามารถทำได้ทั้งในประเทศและนอกประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราสามารถใช้ Google Adwords เลือกตลาดใหม่ๆ กลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่ๆ ได้ตลอดเวลา เป้าหมายของการทำ Google Ads ของธุรกิจ จะช่วยสร้างโอกาสให้ผู้คนรู้จักธุรกิจหรือ สินค้า ผลิตภัณฑ์ การบริการของเรา ผ่านทาง Google ได้ โดยที่คนเหล่านั้นไม่เคยรู้จักธุรกิจหรือสินค้า ผลิตภัณฑ์ การบริการของเรามาก่อน ดังนั้นแล้ว Google Ads จึงเป็นส่วนสำคัญสำหรับธุรกิจที่มุ่งเน้นผลกำไรและยอดขายโดยหลักแล้วเจ้าของธุรกิจที่ใช้บริการ Google Ads ควรทำความเข้าใจองค์ประกอบและเครื่องมือสำหรับการวิเคราะห์การตลาดออนไลน์ด้วย

ข้อดี/ข้อเสียของ Google Ads (Adwords)

ข้อดีของ Google Ads (Adwords)

ใช้ระยะเวลาในการดำเนินงานเพียง 15-20 นาที ก็สามารถทำการโฆษณาเว็บของเราได้แล้ว โดยเราสามารถเลือก Keyword ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเราได้ไม่จำกัด อีกทั้งยังสามารถกำหนด Title Description ของโฆษณาได้กำหนดตำแหน่งโฆษณาได้แน่นอน แต่!!ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับราคา Bid ของแต่ละ Keyword  และยังกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ โดยเมื่อมีคนคลิกโฆษณาของธุรกิจเรา ก็มีโอกาสที่จะเข้ามาเป็นลูกค้า แต่ถ้าไม่มีคนคลิกโฆษณาสินค้าของเรา เราก็ไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณาให้กับทาง Google แล้วยังรองรับได้หลายภาษาอีกด้วย

ข้อเสียของ Google Ads (Adwords)

ด้วยความที่ Google Ads ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจึงทำให้มีคู่แข่งมากขึ้นตามไปด้วย และเสียค่าบริการให้กับ Google ตามจำนวนการคลิก ของผู้ที่เข้าชมเว็บไซต์ของเรา โดยลูกค้านั้นจะสั่งซื้อหรือใช้บริการของเราหรือไม่ก็ตาม ราคาของ Keywords มักไม่ค่อยแน่นอนมีการขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา เพราะมีการแข่งขันที่สูงมาก

Google Ads เป็นบริการของ Google ที่เป็น Search Engine อันดับ 1 ของโลกเลย ซึ่ง Google เองได้มีการให้บริการโฆษณาออนไลน์โดยคิดค่าบริการเป็นต่อคลิก ซึ่งจะมีการคิดค่าบริการก็ต่อเมื่อมีคนคลิกที่โฆษณา และเข้ามายังเว็บไซต์ของเราแล้วเท่านั้น ซึ่งการโฆษณาแบบนี้เราสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการทำโฆษณาออนไลน์และกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ตรงจุด ยกตัวอย่างเช่น เครื่องกรองน้ำ เมื่อลูกค้าต้องการซื้อเครื่องกรองน้ำโดยทำการค้นหาคำว่าเครื่องกรองน้ำ แล้วมาเจอเว็บไซต์ของคุณที่ทำธุรกิจเครื่องกรองน้ำเมื่อลูกค้าทำการคลิกเข้าชมเว็บไซต์ของคุณทำให้มีโอกาสที่ลูกค้าดังกล่าวจะมาเป็นลูกค้าของธุรกิจคุณในอนาคตได้ด้วย

ซึ่งเจ้าตัว Google Ads ทำให้เราสามารถกำหนดงบประมาณต่อวันได้โดยที่งบไม่บานปลาย ,กำหนด Locationและเวลา ที่ต้องการให้แสดงผล และยังสามารถวัดผลได้ เช่น มีคนเข้าชมเว็บไซต์กี่คน คนคลิกโฆษณาช่วงเวลาไหนมากที่สุด  ซึ่งปัจจุบันนี้การทำโฆษณาออนไลน์ เริ่มมีความยากและซับซ้อนมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นเราต้องหมั่นศึกษาและพัฒนาการทำโฆษณาออนไลน์อยู่เรื่อยๆ เพื่อตามให้ทันคู่แข่ง และทำให้โฆษณาเกิดประสิทธิสูงสุด ซึ่งหากว่าคุณเองกำลังมองหาโฆษณาออนไลน์ที่จะช่วยเพิ่มยอดขายและต้องการให้สินค้าของคุณเป็นที่รู้จักมากขึ้น Google Ads ถือว่าตอบโจทย์กับการทำโฆษณาออนไลน์มากที่สุด เพราะเจ้าตัว Google Ads เองถือว่าเป็น Search Engine ที่ดีที่สุดที่จะทำให้ธุรกิจของคุณมีโอกาสประสบความสำเร็จในการทำโฆณาออนไลน์  ซึ่งนี่ก็ยังถือว่าเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้นเองค่ะ

Google Ads ต่างจาก SEO อย่างไร?

SEO คือ การทำให้เว็บไซต์ติดอันดับแบบไม่เสียเงิน ใช้เวลาแต่ยั่งยืน

SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดออนไลน์อย่างหนึ่ง ที่มักจะโฟกัสไปที่การทำเนื้อหาเว็บไซต์ ให้เกี่ยวข้องกับคำค้นหาใน Search Engine เพื่อทำให้อันดับการค้นหา อยู่ในอันดับต้นๆ ส่งผลให้ผู้ชมหาเว็บไซต์หาเราเจอง่ายขึ้น ทั้งนี้ไม่ใช่แค่เนื้อหาบนเว็บไซต์ แต่ยังเกี่ยวข้องกับ การปรับแต่งโครงสร้างหน้าตาเว็บไซต์ การปรับแต่งโค้ด หรือแม้กระทั่งปรับความเร็วในการเข้าถึงเว็บไซต์

ซึ่งผลลัพธ์ของการกระทำเหล่านี้ จะส่งผลให้เว็บไซต์ของคุณอยู่อันดับต้นๆ ของผลการค้นหา ด้วย Keyword ที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ หรือธุรกิจของคุณเอง เรียกง่ายๆว่า เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ให้เกี่ยวข้องกับคำค้นหาให้มากที่สุด ซึ่งหากคุณทำได้ดี  Search Engine ก็จะมองเห็นว่าเนื้อหาในเว็บไซต์คุณเกี่ยวข้องกับคำค้นหามากกว่าเว็บไซต์อื่นๆ จะแสดงผลในหน้าค้นหาโดยคำนึงถึงความเกี่ยวข้องและความสำคัญมากน้อยตามลำดับกันไป

Google Ads คือ คือการทำให้เว็บไซต์ติดอันดับด้วยการจ่ายเงิน ติดอันดับทันที

Google Ads เป็นบริการของ Google ซึ่งเป็น Search Engine อันดับหนึ่งของโลก ซึ่งให้บริการโฆษณาโดยคิดค่าบริการเป็นต่อคลิก โดยจะใช้ Keyword ที่ผู้คนทั่วโลกใช้ค้นหา สิ่งที่พวกเขาต้องการ เป็นตัวดึงลูกค้าเข้ามาหาเว็บไซต์เรา ซึ่งจะคิดค่าบริการก็ต่อเมื่อมีคนคลิกที่โฆษณา และเข้ามายังเว็บไซต์ของเราแล้ว ข้อดีของการทำ Google Ads เป็นเหมือนการทำเว็บไซต์เป็นที่รู้จักในวงกว้าง อยากให้เว็บไซต์ติดอันดับ ทำให้ผู้คน ค้นหาคุณเจอได้อย่างง่ายดาย และได้ลูกค้าที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย 

เพราะการทำ Google Ads นั้น เราจะไม่ได้ออกไปหาลูกค้าให้เหนื่อย แต่เราจะทำให้ลูกค้าหาเราเจอด้วยตัวเอง จากสิ่งที่เรียกว่า “คีย์เวิร์ด” ซึ่งมันง่ายตรงที่ เราไม่จำเป็นต้องทำอะไรเยอะ เพียงแต่พยายามหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับลูกค้า และรอให้พวกเขาคลิกเข้ามาในเว็บไซต์ของเราเอง โดยแทบไม่เปลืองแรงอะไรเลย หากเรามีการวิเคราะห์มาอย่างดี

หากใครเริ่มเก็ทไอเดีย และอยากทำความรู้จัก 2 สิ่งนี้อย่างละเอียด สามารถตามอ่านต่อได้ที่ : Google Ads vs. SEO แตกต่างกันอย่างไร?

ข้อสงสัยในการทำ Google Ads 

  • Google Ads ช่วยเพิ่มยอดขายให้ธุรกิจอย่างไร

Google มีการค้นหาข้อมูลมากที่สุดของโลก โดยการทำ Google Ads ทำให้ธุรกิจเข้าถึงผู้คนไได้ทั่วโลก และเราสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจแบบเจาะจงได้ เช่น เพศ อายุ ความสนใจประเทศ เมือง ทำให้เข้าถึงลูกค้าได้ดีมากขึ้น จึงสามารถเพิ่มยอดขายของธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • ค่าใช้จ่ายในการทำ Google Ads อยู่ที่เท่าไหร

Google Ads เราสามารถกำหนดงบการทำโฆษณาได้เองว่าต่อเดือนต้องการที่เท่าไหร ไม่มีกฎที่แน่ชัด ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ประเภทธุรกิจ เป้าหมายธุรกิจ จำนวนคีย์เวิร์ด จำนวนคลิ๊กเพื่อเข้าเว็บไซด์ เป็นต้น

  • Smart Campaign คืออะไร

Smart Campaign เป็นการทำ Google Ads ที่เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก หรือผู้ใช้Google Ads เบื้องต้น โดยมีการจับคู่กลุ่มเป้าหมาย เวลา ให้อัตโนมัติ ซึ่งเป็นการสร้างผลลัพธ์ที่คุ้มค่ามีคุณภาพ

สรุป 

Google Ads  คือการยิงโฆษณาผ่านออนไลน์เป็นแพลต์ฟอร์มของ Google ที่เราสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมาย วัตถุประสงค์ ระยะเวลา งบประมาณ ที่ทำให้เกิดผลลัพธ์ทางการตลาดได้อย่างรวดเร็ว แต่ควรศึกษาข้อมูลการทำ Google Ads ให้ดี ถ้าสมมุติพัฒนาแล้วไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ สามารถติดต่อเราได้ เรามีทีมผู้เชี่ยวชาญพร้อมให้คำแนะนำค่ะ