รวมสุดยอดวิธีเลือกคีย์เวิร์ด ที่จะทำให้ลูกค้าคลิกรัวๆ

Panida
|Updated: Dec 21, 2023

 

คีย์เวิร์ดดี มีชัยไปกว่าครึ่ง สอนวิธีเลือกคีย์เวิร์ด ให้ได้ผลตอบรับดี ลูกค้าคลิกรัวๆ!!

เราเชื่อว่าเจ้าของเว็บไซต์หลายๆ คน ที่เริ่มหันมาแข่งขันในสนามของการทำ Google Ads นั้น ต่างเจอกับปัญหาเดียวกันคือ ไม่รู้จะเลือกคีย์เวิร์ดอย่างไรดี ให้แม่นยำ และมีประสิทธิภาพมากที่สุด หรือหลายคนยังไม่ทราบด้วยซ้ำ ว่าหัวใจหลักของการทำ Google Ads คือการเลือกคีย์เวิร์ดที่ดี ที่เหมาะสม

ทำไมการเลือกคีย์เวิร์ดถึงสำคัญ? เพราะอัลกอริธึมของ Google นั้น ให้ความสำคัญกับการใช้คีย์เวิร์ดมากกก เพราะคีย์เวิร์ดเป็นเหมือนกุญแจสำคัญ ที่จะทำให้เว็บไซต์ของเราถูกค้นเจอ โดย Google ซึ่งเขาจะเก็บสถิติการค้นของคำต่าง ๆ ตลอดเวลา ทำให้การทำการตลาดออนไลน์สมัยนี้ จำเป็นต้องนำคีย์เวิร์ดเหล่านั้น มาใช้ให้เป็น เพื่อได้ลูกค้าที่ตรงกลุ่มเป้าหมายที่สุด

วันนี้ KODSANA.COM จะพามาทำความรู้จัก กับวิธีการเลือกคีย์เวิร์ด ที่ขอรับรองได้เลยว่าลูกค้าคลิกรัวๆ อย่างแน่นอน


เลือกคีย์เวิร์ดให้ถูกประเภท

ก่อนที่จะใช้เทคนิคใดๆ ทั้งหมด สิ่งสำคัญอันดับแรกคือ คุณจำเป็นต้องรู้จักประเภทของคีย์เวิร์ดกันก่อน ทำไมถึงต้องรู้จัก? เพราะคีย์ที่เหมาะสม จะทำให้คุณสามารถใช้กลยุทธ์โฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เจอลูกค้าที่ตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น แถมยังช่วยเรื่องคุมงบประมาณ ค่าคลิก ไม่ให้แพงเกินไปอีกด้วย ทีนี้เรามาทำความรู้จัก ความแตกต่าง และการใช้งานของแต่ละคีย์เวิร์ดกัน

ขอบคุณภาพจาก : vividreal.com

 

Broad Keyword 

Broad Keyword คือคีย์เวิร์ดที่ทำงานแบบกว้างๆ ซึ่งประโยชน์ของคีย์เวิร์ดนี้คือ จะสามารถแสดงผลลัพท์คำคล้าย หรือคำที่เกี่ยวข้องกันมาแสดงเพิ่มเติมได้อีกด้วย ซึ่งแม้จะไม่เป็นที่นิยม เพราะเนื่องจากมันกว้างไป และอาจได้ผลลัพธ์ที่ไม่ตรงใจสักเท่าไหร่ แต่ก็เหมาะสำหรับ คนเพิ่งหัดทำ Google Ads เพราะสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มา อีกทั้งอาจจะได้คีย์เวิร์ดใหม่ๆ ที่เราอาจจะนึกไม่ถึง ตัวอย่างเช่น รองเท้าผู้หญิง อาจจะเจอคำที่คล้ายคลึงกัน เช่น รองเท้าสตรี

Broad Match Keyword

Broad Match Keyword คือคีย์เวิร์ดที่ทำงานแคบกว่า Broad Keyword มีเครื่องหมาย (+) นำหน้า สามารถมีคำอื่นๆ หรือรูปประโยคอื่นๆ มาแทรก นำหน้า หรือ ต่อท้ายได้ และการแสดงผลลัพธ์จะแต่แสดงผลลัพธ์ที่ตรงกับคำค้นหาเท่านั้น เช่น (+รองเท้า, +ผู้หญิง) การใช้คีย์เวิร์ดประเภทนี้ แม้จะเป็นการค้นหาแบบกว้าง แต่ก็มีความยืดหยุ่นพอสมควร เนื่องจากมันยังสามารถที่จะ Target กลุ่มคำที่ค่อนข้างกว้าง ทำให้เราอาจเจอคำค้นหาใหม่ๆ ที่ผู้คนค้นหา จนเกิดเป็นคีย์เวิร์ดใหม่ๆ ในอนาคตก็ได้

 

Phrase Keyword

Phrase Keyword คือ Keyword ที่มีเครื่องหมาย ” ” ปิดหัวท้าย ทำงานแบบวลี ที่ห้ามมีคำใดมาแทรกระหว่างกลาง โดยผลลัพธ์ที่แสดงจะขึ้นเฉพาะ เว็บไซต์หรือโฆษณา ที่มี Keyword ดังกล่าวประกอบอยู่ ทำให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้เฉพาะเจาะจงมากกว่าแบบ Board Match เช่น “รองเท้าผู้หญิง”

Exact Keyword

คีย์เวิร์ดแบบ Exact Macth นั้นคือ คำค้นหาที่มีคำเฉพาะตัวมากๆ ทั้งยังมีราคาค่า Bid ต่ำที่สุดในบรรดา Keyword ทั้ง 4  ผู้ค้นหาจะต้องใช้คำค้นหาแบบตรงตัวทุกคำ ทุกอักษร เช่น เราตั้งคีย์เวิร์ดไว้ว่า [รองเท้าผู้หญิง] หากลูกค้าค้นหาคำว่า รองเท้าส้นสูง เพียงเท่านี้ก็จะไม่สามารถเจอโฆษณาของคุณได้เลย เพราะพิมพ์ค้นหาไม่ตรงตัว 

Negative Keyword

Negative Keyword คือคีย์เวิร์ดที่สำคัญมาก ในการทำ Google Ads คือการตัดคำที่ไม่เกี่ยวข้องกับสินค้าของเราออก เช่น คุณขายรองส้นสูง สำหรับผู้หญิง และเลือกใช้คีย์เวิร์ดกว้างๆ เช่น +รองเท้า +ผู้หญิง ทำให้ คุณมีโอกาสที่จะได้คนค้นหา ที่ไม่ได้ต้องการสินค้าของคุณเช่น  ร้องเท้าผ้าใบผู้หญิง คลิกเข้ามาในโฆษณาเช่นกัน ดังนั้นคุณจำเป็นต้องทำให้คำว่า “ผ้าใบ” กลายเป็น Negative Keyword นั่นเอง

 


เลือกคีย์เวิร์ด ที่สอดคล้องกับ Landing Page

ถือได้ว่าเป็นเรื่องพื้นฐานมากๆ สำหรับการทำ Google Ads เพราะ Landing Page คือ ด่านแรก ด่านสำคัญที่พาลูกค้ามาเจอคุณ เปรียบเสมือนหน้าร้านออนไลน์เลยทีเดียว ดังนั้นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากเลยก็คือ คีย์เวิร์ดที่เลือกใช้นั้น ควรจะเป็นคำที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาภายในหน้า Landing Page ให้เยอะมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และด้านล่างนี้ คือสิ่งที่คุณจะได้รู้ ว่าการเลือกคีย์เวิร์ดให้ตรงกับ Landing Page นั้น มีข้อดีอย่างไรบ้าง

ขอบคุณภาพจาก : themeforest.net

เพิ่ม Quality Score ให้กับ Keyword

ขอบคุณภาพจาก : ebizroi.com

เพราะการเลือกคีย์เวิร์ดให้สัมพันธ์กับ Landing Page นั้น จะสามารถเพิ่ม Quality Score ให้กับคีย์เวิร์ดนั้นๆ ได้ โดยปัจจัยของคะแนน Quality Score นั้น จะมี 3 ส่วนหลักๆ คือ 

  • Ad Relevance หรือ ความสอดคล้องระหว่างคีย์เวิร์ด และ โฆษณา ให้ลองจินตนาการว่า หากผู้ค้นหา อยากหาคำว่า รองเท้าส้นสูง แต่ดันไปเจอโฆษณารองเท้าผ้าใบ พวกเขาก็จะไม่เกิดการคลิก และ Google ก็จะให้ Quality score ต่ำนั่นเอง
  • CTR ( Click-Throug-Rate) หรือ อัตราการคลิก เป็นตัวบอกถึงเปอร์เซ็นที่ผู้ชมคลิกเข้ามาจากจำนวนคนมองเห็นทั้งหมด ซึ่งหาก CTR เราสูง ในแต่ละคีย์เวิร์ด Google ก็จะให้ Quality score ที่สูงขึ้นนั่นเอง ซึ่งวิธีทำให้คนคลิกเยอะๆ ก็เพียงแค่เขียนโฆษณาให้ดึงดูดใจ และตรงความต้องการของผู้ค้นหา เท่านั้นเอง
  • Landing Page Experience หมายถึงความสอดคล้องของคีย์เวิร์ด กับ Landing Page ซึ่งตรงนี้ก็คือหัวข้อใหญ่ของเรานั่นเอง เป็นเฉลยว่าทำไมเราถึงต้องเลือกคีย์เวิร์ดให้สัมพันธ์กับ Landing Page เพราะคะแนน Landing Page Experience เป็นส่วนประกอบของ Quality Score นั่นเอง

 

เพิ่ม Ad Rank (อันดับโฆษณาสูงขึ้น)

 

ขอบคุณภาพจาก : hkwebdesign.ne

จากข้อด้านบน เป็นผลพวงที่ตามกันมา เพราะเมื่อคีย์เวิร์ดแต่ละตัว มี Quality Score ที่ดีแล้วนั้น Google ก็จะจัดอันดับโดยใช้คะแนนเป็นตัววัด ว่าโฆษณาตัวไหนได้คะแนนที่ดีที่สุด ก็จะไปอยู่ด้านบนสุด และเรียงลงมา

ซึ่งวิธีคำนวนอันดับโฆษณา ก็ไม่ได้สุ่มมั่วๆ แต่อย่างใด แต่เขามีสูตรที่ตายตัวคือ Maximum Bid x Quality Score = Ad Rank จะเห็นว่ามีเพียงสองส่วนหลักๆ คือ จำนวนนำเสนอสูงสุด คูณกับ คะแนนคุณภาพ ซึ่งถ้าคุณพร้อมที่จะจ่ายงบบานปลายแล้วล่ะก็ Maximum Bid ของคุณก็แค่กำหนดให้สูงกว่าชาวบ้าน คุณก็จะขึ้นอันดับหนึ่งได้ทันที แต่ราคามันไม่ใช่บาทสองบาท และมันจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งบางทีมันอาจจะไม่คุ้มค่าเท่าที่ควร ดังนั้นจะดีกว่าไหม ถ้าคุณรู้จักวิธีไต่อันดับ โดยใช้เงินให้น้อยที่สุด ด้วยการหันมาให้ความสำคัญกับการเลือกคีย์เวิร์ด การเพิ่มคะแนนคุณภาพ เพียงเท่านี้ก็จะขึ้นไปอยู่อันดับสูงๆ ได้อย่างมีคุณภาพนั่นเอง

ค่าคลิกถูกลง

และนีก็คืออีกข้อสำคัญ ของทุกอย่างด้านบนที่เราพยายามทำทั้งหมด เพราะปัจจัยการทำให้ค่าคลิกถูกลงนั้นมีหลายอย่างมาก ไม่ว่าจะ การปรับปรุงคะแนนคุณภาพ การทำให้อัตรการคลิกสูงขึ้น เรียกได้ว่า ถ้าเราตั้งใจปรับปรุงทุกส่วนให้ดีขึ้นแล้วนั้น โฆษณาก็จะมีคุณภาพ แถมคุณไม่ต้องจ่ายในราคาที่แพงกว่าชาวบ้านเขาอีกด้วย 

 


เลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมกับธุรกิจ

 

เลือกแบบมองในมุมลูกค้า

สำหรับเจ้าของธุรกิจทุกคนที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง ก็จะคอยคิดแต่ในมุมตัวเอง ว่าเราจะขายยัง เราจะทำยังไงให้คนมาซื้อสินค้า แต่คุณลองปรับมุมมอง ลองคิดแบบลูกค้า จินตนการถึงมุมมองของผู้บริโภค เช่นถ้าคุณอยากค้นหาสิ่งนั้นๆ คุณจะเสิร์ชว่าอะไร? คุณจะใช้คีย์เวิร์ดไหนเพื่อให้เจอในสิ่งที่คุณค้นหา หรือต้องการ ก็จะเป็นหนึ่งวิธีที่ช่วยให้ช่วยสามารถเลือกคีย์เวิร์ดได้เช่นกัน 

ตัวอย่างการคิดแบบมุมมองลูกค้า ก็ให้สังเกตพฤติกรรมตนเอง เช่น หากคุณเปิดธุรกิจปล่อยเช่าคอนโด ให้คุณลองนึกถึงมุมมอง ถ้าคุณอยู่แถวสาธร แล้วอยากจะหาคอนโดเช่าอยู่ คุณจะเสิร์ชคำว่าอะไร  เมื่อคุณคิดจากฝั่งของลูกค้า จะช่วยให้คุณสามารถนึกคีย์เวิร์ดดีๆ ที่น่าสนใจได้มากขึ้นอย่างแน่นอน

จัดทำลิสต์คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ 

อีกวิธีง่ายๆ ก่อนจะทำอะไรทั้งหมด ให้คุณลองลิสต์คีย์เวิร์ดทุกคำ เท่าที่คุณจะนึกได้ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจทั้งทางตรง และทางอ้อม ลิสต์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าจะเป็นวิธีใช้สินค้า แหล่งขายสินค้า สถานที่ให้บริการ คู่แข่งของธุรกิจ รีวิวสินค้า ซึ่งวิธีคลาสสิก ก็คือให้คุณลองใช้วิธี เสิร์ชคำเหล่านั้นบนกูเกิ้ล ก็จะพบคำค้นหามากมาย ที่คนส่วนใหญ่ใช้ค้นหากัน และต้องอย่าลืมว่า ควรเก็บให้หมดทุกคำ เพื่อจะไม่ได้พลาดโอกาสดีๆ ให้การทำโฆษณาที่มีประสิทธิภาพ

เลือกคีย์เวิร์ดที่เจาะจงถึงธุรกิจจริงๆ

จากข้อด้านบนที่คุณจัดทำลิสต์ไว้แล้ว ว่าคีย์เวิร์ดไหนบ้าง ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจคุณ ทั้งทางตรงและทางอ้อม แล้วนำคำเหล่านั้นมาพิจารณาอีกรอบ ว่าคำไหนเจาะจงถึงธุรกิจของคุณจริงๆ และตัดคำที่ไม่จำเป็นออก เพื่อประหยัดงบประมาณ อาจจะเลือกตัดคำที่กว้างเกินไป เพราะคำเหล่านี้ จะมีคู่แข่งเยอะ แถมบางทีมีโอกาสได้กลุ่มเป้าหมาย หรือ ลูกค้าที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณอีกด้วย เช่น คุณปล่อยให้เช่าคอนโดแถวสาธร บางทีคีย์เวิร์ด “เช่าคอนโด” อาจจะไม่ได้ตอบโจทย์ธุรกิจของคุณมากขนาดนั้น แต่ถ้าคุณลองคิดให้แคบกว่าไหน และใส่สถานที่ลงไปด้วยอย่าง “เช่าคอนโด สาธร” ก็จะตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการมากขึ้น ทำให้เจอลูกค้าได้อย่างง่ายดาย

 

 


รู้จักใช้เครื่องมือ มาช่วยให้การเลือกคีย์เวิร์ด

หากคุณลองทำตามข้อด้านบนที่กล่าวมาแล้วนั้น แต่ยังไม่มีไอเดีย ว่าคีย์เวิร์ดที่เราเลือก จะเวิร์คหรือไม่ ให้ลองใช้เครื่องมือเหล่านี้ช่วยดู ซึ่งผลลัพธ์จะแม่นยำกว่าการที่คุณมานั่งเดาเอง ว่าคำไหนจะเวิร์คหรือไม่เวิร์ค

Keyword Planner

Keyword Planner

เรียกได้ว่าเป็นเครื่องมือทำมาหากิน ของการใช้เลือกคีย์เวิร์ดเลยทีเดียว เพราะเจ้าตัว Keyword Planner คือ เครื่องมือที่เอาไว้ตรวจสอบว่า keyword แต่ละคำ มีคนค้นหาต่อเดือนประมาณเท่าไหร่ มีคนบิดที่ราคาสูงสุด ต่ำสุดเท่าไหร่ การแข่งขันสูงระดับไหน เราจะได้ทราบว่ามีคนต้องการสินค้า หรือบริการประเภทนี้มากขนาดไหน โดยจุดประสงค์หลักที่ Google สร้างขึ้นมา เพื่อให้ผู้ที่ลงโฆษณา Google Ads สามารถวางแผนการลงโฆษณาของตัวเองได้ดียิ่งขึ้น ที่สำคัญคือ เขาให้เราใช้แบบฟรีๆ อีกด้วย ถือเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ และช่วยเราวิเคราะห์ได้ดีเลยทีเดียว

สำหรับใครที่อยากทำความเข้าใจเครื่องมือ Keyword Planner มากกว่านี้ ไม่ว่าจะรวบรวมวิธีใช้ เมนูต่างๆ เป็นอย่างไร วิธีค้นหาคีย์เวิร์ด สามารถดูได้ที่นี่เลย : วิธีใช้ Google Keyword Planner (อัพเดทล่าสุด 2019)

 

Google Trend

อย่างที่ทราบกันดีว่า Google นั้น คือ Search Engine ที่มีประสิทธิภาพที่ดีที่สุดในโลกแล้วตอนนี้ เพราะว่าเราโกหก Google ไม่ได้ ทำให้ตอนนี้ Google มีข้อมูลพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ใหญ่ที่สุดในโลกเลยทีเดียวล่ะ

จึงเกิดเป็นเครื่องมือ “Google Trend” เครื่องมือที่ สามารถเข้าถึงพฤติกรรมการ Search ของผู้คนทั่วโลกได้ สามารถทราบถึงความสนใจในช่วงนั้นๆ หรือแม้กระทั่งในอดีต และแนวโน้มในอนาคตอีกด้วย ซึ่งวิธีใช้ก็ง่ายๆ เหมือนการ Search Google เพียงแค่เราใส่คำที่เราต้องการค้นหาลงไป แต่ผลลัพธ์ของ Google Trend นั้นจะแสดงผลในลักษณะ ข้อมูลทางสถิติของการค้นหาคำหรือหัวข้อเหล่านั้นออกมาอย่างละเอียด ซึ่งถือว่าเป็นข้อมูลที่น่าเชื่อถือมากที่สุด เพราะข้อมูลจาก Google นั้น ไม่ใช่ข้อมูลที่มาจากการสำรวจ แต่เกิดจากพฤติกรรมของผู้คน ที่เสิร์ชหาคำนั้นๆ ในชีวิตประจำวัน จริงๆ ดังนั้นจึงเป็นผลที่โกหกไม่ได้เลยทีเดียว

สำหรับใครที่อยากลองเล่น อยากรู้เทรนด์โลก หรือเทรนด์ในประเทศไทย ก็ลองเข้าไปที่ : Google Trends ได้เลย