6 เหตุผล ที่คุณทำ Google Ads ไม่ได้ผล

Panida
|Updated: Dec 21, 2023

 

 

ทำ Google Ads เอง แต่ไม่ได้ผล ทำอย่างไรดี? เปิด 6 เหตุผลสำคัญ ที่คุณอาจมองข้าม จนทำให้โฆษณาไม่มีประสิทธิภาพ

สำหรับคนที่มีธุรกิจเป็นของตัวเอง และเริ่มฝึกลงโฆษณากับ Google Ads นั้น ก็อาจจะเจอปัญหามากมาย และปัญหาที่พบเจอบ่อยที่สุด ก็คงจะเป็น “ทำ Google Ads เอง แต่ไม่ได้ผล” ซึ่งจริงๆ แล้ว ก็อย่าเพิ่งกังวล เพราะมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับ ผู้ที่กำลังเริ่มต้น เพราะเจ้าตัว Google Ads นั้น มีอะไรมากมายให้ศึกษาเต็มไปหมด 

KODSANA.COM จึงขอยกตัวอย่าง 5 เหตุผลที่ทำให้คุณทำ Google Ads ไม่ได้ผลตอบรับดีเท่าที่ควร ไม่ว่าคุณจะมีพื้นฐานมากน้อยขนาดไหน เราขอรับรองได้เลยว่า หากอ่านแล้ว โฆษณาของคุณจะมีผลตอบรับที่ดีมากขึ้นอย่างแน่นอน

1. มองข้ามการอ่าน Search Term Report

 

ขอบคุณภาพจาก : clixmarketing.com

เรื่องเล็กน้อยที่คนทำ Google Ads มักไม่ได้ให้ความสำคัญ ก็คือการอ่าน Search Terms Report ซึ่งตรงนี้มีส่วนสำคัญมาก เนื่องจาก ทำให้เราสามารถทราบได้ทันที ว่าลูกค้าของคุณกำลังค้นหาอะไรอยู่ แน่นอนว่าการมองข้าม Search Terms ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คุณทำโฆษณา Google Ads ไม่ได้ผลนั่นเอง

 

Search Terms Report คืออะไร?

Search Terms Report  คือรายงานที่สามารถบอกได้ว่า ผู้ใช้ที่คลิกเข้ามาในเว็บไซต์ของคุณ จริงๆ แล้วแล้วเข้าค้นหาคำว่าอะไร ข้อความค้นหาที่แสดงอาจแตกต่างจากรายการคีย์เวิร์ด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรูปแบบการทำงานของคีย์เวิร์

วิธีการหา Search Term Report คือ เลือก Campaign ที่ต้องการดูรายงาน จากนั้นกดเลือก Keyword โดย Search Terms จะอยู่คอลัมน์ที่ 3 ของหน้า Keyword ซึ่งในหน้านี้ก็จะรายงานว่าผู้คนที่คลิกเข้ามาในโฆษณาของคุณ จริงๆแล้วพวกเขาเสิร์ชคำว่าอะไร

ข้อดีของการอ่าน Search Terms Report 

เราสามารถใช้ Search Terms Report เพื่อหาข้อความค้นหาใหม่ๆ ที่ผู้ชมเว็บไซต์หาเข้ามา ซึ่งเราจะนำคำที่มีศักยภาพสูง เพิ่มลงเป็นคีย์เวิร์ด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับโฆษณามากขึ้นนั่นเอง

ข้อความค้นหากับคีย์เวิร์ดแตกต่างกันอย่างไร? ข้อความค้นหาคือคำหรือชุดคำที่ลูกค้าป้อนเมื่อค้นหาใน Google.com แต่คีย์เวิร์ดคือคำหรือชุดของคำที่ผู้ลงโฆษณา Google สร้างขึ้นสำหรับกลุ่มโฆษณาเพื่อกำหนดเป้าหมายโฆษณาของคุณไปยังลูกค้า

ดังนั้น การที่เรากำหนดคีย์เวิร์ดขึ้นมาเอง ก็สามารถบอกได้ว่าเป็นเพียงการคาดเดา ว่าลูกค้าอาจจะเสิร์ชคำนี้ แต่การอ่าน Search Terms นั้นเป็นตัวยืนยัน ว่าจริงๆ แล้วลูกค้าเสิร์ชคำว่าอะไรเข้ามา ทำให้เราสามารถพัฒนาโฆษณาให้ได้ผลดียิ่งขึ้นทันที

ไม่อ่าน Search Term Report ส่งผลเสียอย่างไร?

ในขณะที่ Search Term Report สามารถทำให้เจอคีย์เวิร์ดใหม่ๆ ที่ผู้คนค้นหา ซึ่งมีประโยชน์คือทำให้โฆษณาของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้นแล้วนั้น คุณอาจจะยังมองไม่เห็นความสำคัญ ไม่อ่านก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ ก็ในเมื่อคีย์เวิร์ดที่ใช้อยู่ ก็มีผลตอบรับดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องหาคีย์เวิร์ดใหม่ๆเลย แต่จริงๆแล้วความคิดนี้ ถือว่าผิดอย่างมหันต์ เพราะประโยชน์ของการอ่าน Search Term นั้น ไม่ได้เพียงทำให้เจอคีย์เวิร์ดใหม่ๆ อย่างเดียว แต่มันยังแสดงให้เห็น ถึงคำที่ไม่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการของคุณอีกด้วย ในกรณีที่คุณมักจะใช้คีย์เวิร์ดแบบกว้างในการหาลูกค้า

ตัวอย่างเช่น คุณคือบริษัทรับแปลภาษา และพยายามใช้คีย์เวิร์ดแบบกว้าง เช่น +แปล +ภาษาญี่ปุ่น เพราะคุณหวังว่าจะเจอลูกค้าที่หาคำนี้เข้ามาแล้วใช้บริการของคุณเช่น “บริษัทแปลภาษาญี่ปุ่น” แต่คุณก็จะมีโอกาสเจอคนที่ค้นหาโฆษณาของคุณ โดยไม่ได้ต้องการใช้บริการของคุณเช่น “สวัสดี ภาษาญี่ปุ่น แปลว่าอะไร” จะเห็นได้ว่าเราอาจจะเสียค่าคลิก ไปกับคนที่ไม่ต้องการใช้บริการของคุณมากมายเลยทีเดียว ดังนั้นการอ่าน Search Term นั้นสำคัญมาก เพราะจะทำให้คุณเจอคำที่ไม่จำเป็น และทำการตัดออกไปนั่นเอง

 

 

2. ไม่ยอมปรับปรุง Landing Page

ขอบคุณภาพจาก : envato.com

หนึ่งสิ่งที่เราอยากแชร์ให้หลายท่านทราบ เพรามีเจ้าของเว็บไซต์หลายท่านเหมือนกัน ที่ไม่ยอมปรับปรุงหน้า Landing Page และหวังจะพึ่งการดูแลจัดการโฆษณาให้มีประสิทธิภาพเพียงอย่างเดียว ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วส่วนประกอบที่สำคัญมากในการทำ Google Ads ให้ได้ผลดี มีหลักอยู่ 3 อย่างด้วยกันคือ Landing Page , Keyword และ Ads Text ดังนั้น ซึ่งหน้าที่ของการทำโฆษณาให้ดี คนส่วนใหญ่มักจะไปโฟกัสที่การหาคีย์เวิร์ด หรือการคิดคำโฆษณาเจ๋งๆ แต่มองข้ามความสำคัญของ Landing Page หรือการปรับปรุงเว็บไซต์ไปอย่างน่าเสียดาย

ข้อดีของ Landing Page

เพราะการมีหน้า Landing Page คุณสามารถติด Tracking เพื่อติดตามดูพฤติกรรม ลูกค้าที่เข้ามาชมได้ ว่าพวกเขาเจอเว็บไซต์คุณจากที่ไหน ใช้เวลาอยู่หน้าเว็บนานเท่าไหร่ แล้วคลิกไปที่หน้าไหนต่อ ซึ่งทั้งหมดนี้จะทำให้คุณข้าใจลูกค้ามากขึ้น ว่าลูกค้ากำลังสนใจสิ่งไหน หรือสามารถวัดได้เลย ว่าเว็บไซต์ของคุณมีความน่าสนใจพอหรือยังอีกด้วย

ยิ่งการทำหน้า Landing Page มีหน้าให้ลูกค้ากรอกข้อมูล (เช่น เบอร์ อีเมล) แล้วล่ะก็ สุดจะมีประโยชน์ เพราะเราสามารถนำมาวิเคราะห์ เพื่อพัฒนาเว็บไซต์เราให้มีประสิทธิภาพ แถมยังเก็บข้อมูลลูกค้าไว้ทำ Remarketing ได้อีกด้วย แต่ที่สำคัญจริงๆคือ อย่าเอาเปรียบลูกค้า การที่พวกเขาจะกรอกข้อมูลเข้ามา เราต้องทำให้พวกเขารู้สึกว่ามันมีประโยชน์ คุ้มค่าที่จะให้ข้อมูลนะ 

 

การทำ Landing Page เราสามารถที่จะกำหนดได้ ว่าลูกค้ากำลังค้นหาสิ่งไหน แล้วเราก็จะส่งหน้า Landing Page ที่เกี่ยวข้อง ให้ลูกค้าได้รับข้อมูลหรือคำตอบที่พวกเขาต้องการค้นหา ทำให้ลูกค้าไม่รู้สึกเสียเวลากับหน้าเว็บหน้าแรก ที่พวกเขาไม่รู้จะคลิกไปตรงไหน แถมไม่รู้สึกถูกยัดเยียดจนเกินไป เพราะพวกเขาได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับตัวเขา ดังนั้นสิ่งที่เราได้กลับมา คือความน่าเชื่อถือ ว่าเราคือผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นจริงๆ 

 

3. ไม่ได้วัดผลการทำโฆษณา

เราเข้าใจดีว่าคุณมีความตั้งใจอย่างมาก ในการหาคีย์เวิร์ดที่คิดว่าตรงกับสินค้าและบริการ หาคำโฆษณาที่ตรงใจมากที่สุด ทุ่มเทงบประมาณอย่างสูง เพื่อที่จะเพิ่มการมองเห็นโฆษณาให้มากที่สุด และพยายามอย่างมาก ที่จะให้เกิดคลิกเยอะๆ แต่พอตอบรับมันไม่ได้ดีอย่างที่คุณคิด คุณก็จะรู้สึกเคว้งคว้าง รู้สึกไปต่อไม่ถูก และงงว่าคุณทำอะไรผิด ทำไม Google Ads ของคุณถึงไม่ได้ผลตอบรับที่ดีเหมือนเว็บไซต์อื่นๆล่ะ? ก็เพราะคุณไม่ได้ทำการวัดผลการทำโฆษณาไงล่ะ คุณก็จะไม่มีทางทราบได้เลย ว่าโฆษณาที่คุณลงทุนและลงแรงไปนั้น ให้ผลตอบแทนกลับมามากน้อยเพียงใด หรือมีจุดใดที่ควรได้รับการปรับปรุง

ทำไมต้องมีการวัดผลโฆษณา

การทำ Google Ads ก็เหมือนการทำการตลาดดั้งเดิมทั่วไป ที่ก่อนจะทำการใดๆ ทั้งหมด ก็ต้องผ่านการวางแผนการตลาด และวางเป้าหมายให้ชัดเจนที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อพิชิตเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยการจะวิเคราะห์ข้อมูลใดก็ตาม สิ่งสำคัญที่จะต้องมีก็คือ “สมมติฐาน” เพราะสมมติฐาน จะทำให้คุณทราบว่า คุณวางแผนจะโปรโมทธุรกิจด้วยวิธีใด และคาดหวังว่าจะได้ผลลัพธ์อย่างไรจากวิธีการนั้น โดยเครื่องมือวัดผลโฆษณาสำหรับ Google Ads ก็มีหลายอย่างด้วยกัน ดังนี้

Conversion – Google Ads

ขอบคุณภาพจาก : mojomarketplace.com

โดยหลักๆแล้ว ตัวชี้วัดในการทำ Google Ads นั้นก็คือตัว Conversion จะไม่มีสูตรตายตัว ว่าต้องเป็นอะไร ต้องวัดแบบไหน เพราะเจ้าของธุรกิจจะต้องกำหนดเอง โดยจะเป็นอะไรก็ได้ เช่น ยอดขาย การกดสมัครสมาชิก โทรเข้ามาสอบถาม  ตัวอย่างง่ายๆ คือ หากคุณขายเครืองสำอางค์ Conversion ของคุณคือยอดขาย หรือ การสั่งซื้อบนหน้าเว็บไซต์ แต่หากคุณขายคอนโด Conversion ของคุณอาจจะเป็นผู้ที่กดเข้ามาลงทะเบียนขอเข้าชมโครงการก็สามารถเป็นไปได้

โดย Conversion นั้นมีความสำคัญมากในการวัดผลโฆษณา สามารถเป็นตัวชี้วัดได้เลยว่า โฆษณานั้นๆ ประสบผลสำเร็จหรือไม่ เพราะในการลงโฆษณากับ Google หรือที่เรียกว่า Google Ads สามารถกำหนดค่า Conversion ได้ ตามโครงสร้างของธุรกิจ เช่น จำนวนคนสมัครสมาชิก จำนวนคนซื้อสินค้า ซึ่งถ้าเราไม่กำหนด Conversion ไว้ ก็บอกได้เลยว่าเปรียบเหมือนการทำโฆษณาแบบปิดตาข้างเดียว เพราะเราจะเห็นแค่คนคลิกเข้ามาชมเว็บไซต์ แต่ไม่ทราบเลยว่า เขาคลิกเข้ามาแล้วทำอะไรต่อหรือเปล่า? ดังนั้นการวัดผลด้วย Conversion จึงมีความสำคัญ และเป็นการวัดผลมีประสิทธิภาพที่สุด

Goal – Google Analytics

ขอบคุณภาพจาก : bounteous.com

สำหรับ Goal ใน Google Analytics นั้น เป็นสิ่งสำคัญที่ทุกเว็บไซต์ต้องมี เนื่องจากเป็นเหมือนการวัด KPI ในการทำการตลาด ว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่นั้น สามารถบรรลุเป้าหมายของเราได้หรือเปล่า เช่น คุณทำธุรกิจขายคอร์สลดความอ้วน และหน้าเว็บไซต์ของคุณมีฟอร์มสำหรับให้ลูกค้ากรอก เพื่อรับส่วนลด ของจินตนาการดูว่า ถ้าคุณไ่ม่มีการวัดผลโฆษณา คุณจะทราบได้อย่างไร ว่ามีคนกรอกแบบฟอร์มเข้ามาวันละกี่คน?

วิธีใช้ Goal ง่ายๆคือ ให้คุณตั้งสมมติฐานขึ้นมา เช่น อยากให้มีคนจองคอร์สของคุณอย่างน้อยวันละ 3 คน จากนั้นก็ใช้ เครื่องมือที่ชื่อว่า Goal บน Google Analytics ทำการวัดผลโฆษณา

เมื่อตั้ง Goal แล้ว คุณก็สามารถวิเคราะห์ความสำเร็จของ Goal ได้ โดยคุณสามารถตรวจสอบได้ ว่าคนที่คลิกเข้ามาในเว็บไซต์ นั้นซื้อคอร์สอย่างน้อย 3 คน ตามที่ตั้งเป้าเอาไว้หรือไม่ 

4. คุณไม่ได้ทำ A/B Testing ให้กับโฆษณาของคุณ

ขอบคุณภาพจาก : foxutech.com

A/B Testing คืออะไร

A/B Testing เป็นการทดสอบเพื่อเปรียบเทียบว่าระหว่างโฆษณาสองตัว (Original) กับอีกโฆษณา (Variation) นั้น แบบไหนให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่ากัน โดยที่ทั้ง 2 โฆษณาจะมีสิ่งที่แตกต่างกัน แต่ยังถูกควบคุมตัวแปรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องให้เหมือนกันทั้งหมดเพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนกับการทดสอบ 

ทำไมต้องทำ A/B Testing

อีกหนึ่งปัญหาเลยก็คือ คุณจะไม่มีทางทราบได้เลย ว่าลูกค้าชอบโฆษณาของคุณหรือเปล่า และไม่มีทางทราบได้อีกว่า ข้อความแบบไหนจะตรงใจผู้บริโภคมากที่สุด เพราะคุณทำโฆษณาเพียง 1 ชิ้น จึงทำให้คุณเห็นผลเพียงด้านเดียว ว่าคลิกน้อยหรือเยอะ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักๆ ที่คุณหาไม่เจอ ว่าทำไมคุณถึงทำ Google Ads แล้ว แต่ยังไม่ได้ผล แต่หากคุณทดลองทำ A/B Testing โดยใช้โฆษณาสองตัวมาเปรียบเทียบกัน คุณก็จะได้เห็นอย่างชัดเจน มีตัวเปรียบเทียบ ทำให้สามารถรู้ได้ว่า แบบไหนถึงจะเวิร์คกับธุรกิจของคุณมากที่สุด ไม่ใช่การทำไปแบบเลื่อนลอย โดยที่ไม่รู้ใจลูกค้าเลย ว่าเขาชอบ หรือไม่ชอบโฆษณาของคุณ หากคุณทำ Test ไปเรื่อยๆ คุณก็จะมีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง พัฒนาโฆษณา ให้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น และส่งผลให้ได้โฆษณาของคุณมีประสิทธิภาพสูงสุดนั่นเอง

5. เลือกคีย์เวิร์ดไม่เหมาะสม

ขอบคุณภาพจาก : keywordtool.io

อีกหนึ่งปัญหามือใหม่หัดลงโฆษณากับ Google Ads นั้น มักจะมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันเลยคือ การไม่ทำความเข้าใจแต่ละประเภทของคีย์เวิร์ด ซึ่งก็อาจจะทำให้ได้กลุ่มเป้าหมาย ที่ไม่ตรงใจคุณสักเท่าไหร่ เพราะการเลือกคีย์เวิร์ดนั้นสำคัญมาก หากเลือกผิด หรือไม่ถูกทาง ก็อาจจะทำให้คุณเสียงบประมาณจำนวนมาก โดยอาจจะไม่ได้อะไรกลับคืนมาเลยก็ได้ เราจึงขอแนะนำให้คุณทำความรู้จักคีย์เวิร์ดแต่ละประเภทก่อนดังนี้

Broad Keyword 

Broad Keyword คือคีย์เวิร์ดที่ทำงานแบบกว้างๆ ซึ่งประโยชน์ของคีย์เวิร์ดนี้คือ จะสามารถแสดงผลลัพท์คำคล้าย หรือคำที่เกี่ยวข้องกันมาแสดงเพิ่มเติมได้อีกด้วย เป็นคีย์เวิร์ดที่เหมาะสำหรับ คนเพิ่งหัดทำ Google Ads เพราะสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้าง อีกทั้งอาจจะได้คีย์เวิร์ดใหม่ๆ ที่เราอาจจะนึกไม่ถึง ตัวอย่างเช่น รองเท้าผู้หญิง อาจจะเจอคำที่คล้ายคลึงกัน เช่น รองเท้าสตรี

Broad Match Keyword

Broad Match Keyword คือคีย์เวิร์ดที่ทำงานแคบกว่า Broad Keyword มีเครื่องหมาย (+) นำหน้า สามารถมีคำอื่นๆ มาแทรกได้ การแสดงผลลัพธ์จะแต่แสดงผลลัพธ์ที่ตรงกับคำค้นหาเท่านั้น การใช้คีย์เวิร์ดประเภทนี้ แม้จะเป็นการค้นหาแบบกว้าง แต่ก็มีความยืดหยุ่นพอสมควร เนื่องจากมันยังสามารถที่จะ Target กลุ่มคำที่ค่อนข้างกว้าง ทำให้เราอาจเจอคำค้นหาใหม่ๆ ที่ผู้คนค้นหา จนเกิดเป็นคีย์เวิร์ดใหม่ๆ ในอนาคตก็ได้

Phrase Keyword

Phrase Keyword คือ Keyword ที่มีเครื่องหมาย ” ” ปิดหัวท้าย ทำงานแบบวลี ที่ห้ามมีคำใดมาแทรกระหว่างกลาง โดยผลลัพธ์ที่แสดงจะขึ้นเฉพาะ เว็บไซต์หรือโฆษณา ที่มี Keyword ดังกล่าวประกอบอยู่ ทำให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้เฉพาะเจาะจงมากกว่าแบบ Board Match เช่น “รองเท้าผู้หญิง”

Exact Keyword

คีย์เวิร์ดแบบ Exact Macth นั้นคือ คำค้นหาที่มีคำเฉพาะตัวมากๆ ทั้งยังมีราคาค่า Bid ต่ำที่สุดในบรรดา Keyword ทั้ง 4  ผู้ค้นหาจะต้องใช้คำค้นหาแบบตรงตัวทุกคำ ทุกอักษร เช่น เราตั้งคีย์เวิร์ดไว้ว่า [รองเท้าผู้หญิง] หากลูกค้าค้นหาคำว่า รองเท้าส้นสูง เพียงเท่านี้ก็จะไม่สามารถเจอโฆษณาของคุณได้เลย เพราะพิมพ์ค้นหาไม่ตรงตัว 

Negative Keyword

Negative Keyword คือคีย์เวิร์ดที่สำคัญมาก ในการทำ Google Ads คือการตัดคำที่ไม่เกี่ยวข้องกับสินค้าของเราออก เช่น คุณขายรองส้นสูง สำหรับผู้หญิง และเลือกใช้คีย์เวิร์ดกว้างๆ เช่น +รองเท้า +ผู้หญิง ทำให้ คุณมีโอกาสที่จะได้คนค้นหา ที่ไม่ได้ต้องการสินค้าของคุณเช่น  ร้องเท้าผ้าใบผู้หญิง คลิกเข้ามาในโฆษณาเช่นกัน ดังนั้นคุณจำเป็นต้องทำให้คำว่า “ผ้าใบ” กลายเป็น Negative Keyword นั่นเอง

หากคุณไม่รู้ว่าจะเลือกคีย์เวิร์ดอย่างไรดี ให้การทำ Google Ads นั้น ประสบความสำเร็จ ให้ลองอ่าน รวมสุดยอดวิธีเลือกคีย์เวิร์ด ที่จะทำให้ลูกค้าคลิกรัวๆ

6. ไม่ทำความเข้าใจ Campaign โฆษณา

ขอบคุณภาพจาก : support.google.com

เหตุผลหลัก ที่หลายคนมองข้าม ที่คุณนั้นทำ Google Ads ไม่ได้ผล ก็อาจจะเป็นเพราะ คุณทำผิดตั้งแต่ขั้นตอนแรก! ขั้นตอนแรกคืออะไร? ก็คือขั้นตอนการเลือก Campaign ซึ่งสำคัญมาก เพราะเป็นเหมือนการกำหนดเป้าหมายของการทำโฆษณาเลยทีเดียว ซึ่งหากเราเลือกผิดตั้งแต่แรก ก็เหมือนเราทำอะไรผิดทิศผิดทางอยู่นั่นเอง

วิธีเลือกแคมเปญที่ใช่

เราจะยกตัวอย่างเช่น หากเป้าหมายของการทำ Google Ads ของคุณคือ “เพิ่มยอดขาย”คุณจำเป็นต้องเลือกประเภทแคมเปญที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายนั้น เช่น Search, Display and Shopping campaign types เพื่อให้แคมเปญเหล่านี้ ส่งผลดีต่อโฆษณาของคุณมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ที่สำคัญ เป้าหมายของแคมเปญ ยังส่งผลต่อคำแนะนำที่เกี่ยวข้องสำหรับการตั้งค่าแคมเปญอื่นๆ ต่อไปนี้อีกด้วย เช่น ประเภทย่อยแคมเปญ , รูปแบบโฆษณา , ส่วนขยายโฆษณา , โฟกัสของการเสนอราคา

แคมเปญที่ใช่ ส่งผลอย่างไรกับโฆษณา

ในการที่เราจะสร้างแคมเปญขึ้นมา 1 แคมเปญนั้น เราจำเป็นต้องกำหนดเป้าหมายของแคมเปญ เพื่อการวัดผล เราจะได้รู้ว่า เราสามารถบรรลุเป้าหมายนั้นๆ ได้หรือเปล่า โดยเป้าหมายก็มีหลายประเภทแตกต่างกันไป เช่น อยากได้ยอดขาย อยากให้คนเห็นเยอะๆ โดยคุณสามารถมีได้หลายเป้าหมาย ถ้าคุณมีงบประมาณมากพอ แต่ถ้าคุณงบน้อยแล้วล่ะก็ การเสาะหาแคมเปญที่ใช่ Focus ไปที่เพียงเป้าหมายเดียวเท่านั้น ก็จะทำให้คุณไม่ต้องเปลืองงบไปกับการ ลองผิดลองถูก ว่าแคมเปญไหนจะได้ผลดีกว่ากัน แม้จริงๆ แล้ว การทำหลายแคมเปญแล้วเอามาเปรียบเทียบ ก็มีผลดีต่อธุรกิจ เพราะจะได้เจอสิ่งที่มีประสิทธิภาพที่สุด แต่หากคุณมีงบประมาณที่จำกัด การวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน ว่าแคมเปญแบบไหนที่เหมาะกับคุณจริงๆ ก็จะช่วยให้คุณประสบผลสำเร็จได้ง่ายดาย 

สรุป

จริงๆ แล้ว เหตุผลด้านบนนั้น เป็นเพียงหนึ่งในหลากหลายปัจจัยที่ส่งผลให้การทำโฆษณา Google Ads ของคุณไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร หรือเป็นเพียงการยกตัวอย่างคร่าวๆ ถึงบางข้อสำคัญที่คุณอาจจะมองข้าม เพราะอันที่จริงแล้ว การทำ Google Ads ยังมีอีกหลายปัจจัยที่คุณต้องมองให้รอบด้าน แต่หัวใจหลักของการทำโฆษณาจริงๆ นั้นคือ “ต้องทำการตลาดให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้มากที่สุด” ซึ่งก็เป็นคำตอบที่ค่อนข้างยาก เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคนั้นเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างเร็ว การทำ Google Ads จึงต้องคอยลองผิดลองถูกอยู่บ้าง หรือหมั่นอัพเดทข้อมูลใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อให้ทำโฆษณาออกมาได้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เท่าที่จะทำได้

แต่สำหรับเจ้าของเว็บไซต์ท่านไหน ที่รู้สึกว่าตัวเองไม่มีเวลาทุ่มเทเวลาในการศึกษาตลาดออนไลน์อย่างเต็มตัวขนาดนั้น คุณเพียงแค่เลือกเอเจนซี่ที่มีความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ และน่าเชื่อถือ ให้พวกเขาจัดการเรื่องนี้แทนคุณ